By my side 2.0 : MiSawa
‘…เซมไป’
‘…..’
‘มิ….’
‘…..’
เสียงใครกัน คุณกำลังเรียกใคร…ฉันเหรอ?
ปากของฉัน ขยับ…แต่ทำไมถึงไม่มีเสียงออกมา ออกมาสิ…ออกมา
‘มิ…กิ’
‘ซะ….’
เอ๋ ฉันพูดว่าอะไรกัน ชื่อ? ชื่อของใคร
.
.
.
‘มิยูกิ’
.
.
.
เฮือก!
“…..”
ร่างที่นอนอย่างสงบอยู่เมื่อครู่ลืมตาตื่นขึ้นมา อากาศรอบด้านไม่ได้ร้อนนักแต่เหงื่อกลับไหลซึมไปทั่วกาย
มือหนายกขึ้นก่ายหน้าผากพลางเสยผมที่ปรกหน้าขึ้นก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแว่นข้างกายขึ้นมาใส่เพื่อช่วยให้ทัศนียภาพชัดขึ้น
ฝันงั้นเหรอ…ปวดหัวชะมัด
ตาคมสอดส่ายสิ่งรอบกายที่ล้วนแต่เป็นสีสว่างตา ห้องที่ยังคงไร้ซึ่งผู้คน เฟอร์นิเจอร์เรียบๆ ผ้าม่านที่พริ้วสไวไปตามลมที่พัดเข้ามาจากหน้าต่างที่ถูกแง้มไว้ แสงอ่อนๆยามเช้าที่เล็ดลอดเข้ามาผ่านต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างนอก
พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นแจกันบนโต๊ะขนาดเล็กที่อยู่ห่างจากเตียงไม่มากนัก ดอกลินลี่สีเหลืองสดถูกจัดแต่งอย่างเรียบง่าย มันไม่ได้มีอะไรที่ดูพิเศษ หากแต่ว่ามันทำให้รู้สึกสงบใจและ…สงสัยในเวลาเดียวกัน
วันนี้ก็มาสินะ
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม…เว้นแต่เจ้าดอกไม้นั่น
ฉันพยายามมองหาคำตอบบางอย่าง
เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนมาเปลี่ยนเจ้าดอกไม้นั่นทุกวัน ตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาตื่นขึ้นมาคาดว่าน่าจะผ่านไปหลายวันแล้ว ในห้องนี้ไม่มีปฏิทิน…แต่ดอกไม้ที่อยู่ในแจกันนี่ทำให้เขารู้ว่าวันใหม่ได้มาถึงแล้ว
ติ๊ด!
‘สวัสดียามเช้าครับ วันนี้เรามาเริ่มด้วยข่าวการเกิดอุบัติเหตุในย่าน….’
โทรทัศน์ที่อยู่ปลายเตียงถูกเปิดขึ้น เขานั่งจ้องมองภาพผ่านกรอบแว่น หูก็ฟังเสียงผู้ประกาศข่าวอย่างไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดนัก
อุบัติเหตุ…
.
.
.
‘คุณได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุถูกรถชนระหว่างพยายามข้ามถนนครับ’
ดูจากสภาพฉันก็พอรับรู้ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกรำคาญใจมากที่สุดคง…
‘ร่างกายของคุณไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่สมองของคุณได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก หมอจึงต้องขอให้คุณพักฟื้นอยู่ในโรงพยายาบาลเพื่อดูอาการต่อไปครับ’
นอกจากสิ่งที่คุณหมอพูดมา สิ่งอื่นที่ฉันรู้เกี่ยวกับตัวฉันคือ…
ฉันชื่อ มิยูกิ คาซึยะ เป็นนักศึกษาปี3เล่นเบสบอลและเป็นแคทเชอร์ที่มีชื่อพอตัว มีพ่อ มีเพื่อน
แค่นั้น…
ใช่แล้ว…ฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้นและบางอย่าง…มันขาดหายไป
ความทรงจำของฉัน…
.
.
.
“น่าเบื่อชะมัด”
แอ๊ด….
ประตูค่อยๆเปิดออก ใบหน้าของคนที่เขาพอจะจำได้ค่อยๆโผล่มาทีละคน พวกเขาคือคนที่มาเยี่ยมเขาในวันแรกๆ
“ย๊ะฮ่า! ก็ดูดีขึ้นนี่หว่า!”
“เป็นยังไงบ้างมิยูกิ!”
สายตาที่เพิ่งละจากหน้าจอทีวีค่อยๆมองไปยังผู้มาเยือนนิ่งๆ
“สวัสดี คุ…คุราซากิ โซ…โนะ?”
“แกกก นี่แกแกล้งกวนประสาทกันใช่ไหมวะ! โมจิเฟร้ย! คุราโมจิ!”
ชายหนุ่มทรงผมตั้งท่าทางเอาเรื่องโวยวายขึ้นด้วยความไม่พอใจที่ชื่อตัวเองถูกเรียกผิดๆ
“เอาน่ะๆ ใจเย็นก่อนคุราโมจิ”
คนที่น่าจะชื่อโซโนะพยายามทำให้เพื่อนข้างกายของเขาใจเย็นลง
“ชิ! เห็นแก่ที่แกป่วยอยู่หรอกนะ”
“ฮ่าๆ โทษที”
มิยูกิได้แต่ยิ้มเจื่อน โล่งใจที่ไม่โดนใส่อารมณ์ด้วยท่ามวยปล้ำจากเพื่อนสนิทของเขาเหมือนในวันแรกๆที่เขายังจำใครไม่ค่อยได้
คุราโมจิและโซโนะมักจะมาเยี่ยมเขาบ่อยที่สุดผลัดกับรุ่นพี่และรุ่นน้องของเขาบ้าง คุณพ่อก็เช่นกัน แต่เนื่องจากฉันยังพอจำเรื่องของท่านได้ดีจึงรู้ว่าท่านไม่มีเวลาให้ฉันมากนัก ซึ่งฉันเข้าใจดี…
ทั้งคู่ค่อยๆเดินเข้ามาพร้อมกระเช้าผลไม้ใบไม่ใหญ่นักก่อนจะส่งสมุดเล่มหนึ่งให้เขา
ถ้าจำไม่ผิดนี่น่าจะเป็นเล่มที่3แล้ว…
“ขยันกันจังน้า”
มิยูกิยิ้มพูดก่อนจะรับเอาสมุดมา
เมื่อเปิดสมุดออก กระดาษสีสบายตามักจะถูกขีดเขียนเต็มไปด้วยภาพวาดและข้อความต่างๆ บางทีก็มีรูปแนบมาบ้าง
รูปทุกๆคนและเขา…
เขานั่งเปิดสมุดอย่างตั้งใจ ดวงตาจ้องมองทั้งภาพและข้อความ หูก็ฟังเรื่องราวต่างๆที่คุราโมจิและโซโนะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเนื้อหาในสมุดเล่มนี้
สิ่งเหล่านี้มักทำให้จิตใจฉันสงบขึ้นเสมอ
ข้อความที่ให้กำลังใจ
‘รีบหายแล้วมาเล่นเบสบอลต่อได้แล้ว!’
เรื่องราวที่บอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆ
‘ฉันโคตรคิดถึงอาหารฝีมือนายเลยว่ะ งานฉลองปีนี้ขาดนายไม่ได้นะเว้ย!’
ภาพแห่งความทรงจำ ทั้งทุกข์และสุข…
‘ยังจำวันที่พวกเราไปโคชิเอ็งด้วยกันได้ไหม…’
ตัวฉันในตอนนั้นคงมีความสุขน่าดู
พอคิดได้ดังนั้นเขาก็ลอบยิ้มออกมา เมื่อเพื่อนสนิททั้งสองได้เห็นรอยยิ้มของคนที่เมื่อตะกี้ยังทำหน้าซังกตาย พวกเข้าก็ใจชื้นขึ้น
หวังว่านายจะกลับมาเหมือนเดิมในเร็ววันนะมิยูกิ
….
“มิยูกิหมอว่าไงบ้าง”
เป็นโซโนะที่พูดขึ้นมา
“อ่า…ก็ยังคงต้องอยู่ดูอาการน่ะ และฉันยังไม่ค่อยมีแรงเดินด้วย ยังไงกลับบ้านไปก็จะเป็นภาระเปล่าๆ ฮ่าๆ”
“เห…น่าเบื่อแย่เลยแฮะ ตั้งแต่นายมาอยู่ที่นี่ได้ออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้างไหมเนี่ย”
“ยังเลย…”
พอได้ยินดังนั้นคุราโมจิก็หันไปส่งซิกโบ่ยหน้าไปทางประตูให้กับโซโนะเหมือนบอกให้ไปทำอะไรบางอย่าง
“รับทราบ!”
คนรับรหัสตะเบ๊ะก่อนจะรีบเดินออกจากห้องไป
“อะไรน่ะ?”
“เซอร์ไพรส์ไง เห็นนายเบื่อๆพวกฉันเลยไปคุยกับพยาบาลมาให้น่ะ”
“มาแล้ว!”
โซโนะเปิดประตูเข้ามาพร้อมเข็นบางสิ่งเข้ามาด้วย
“คราวนี้นายจะได้ไม่ต้องอุดอู้อยู่ในห้องสักทีล่ะ”
“พวกนาย…”
มันคือรถเข็นผู้ป่วยนั่นเอง
มิยูกิยิ้มบางๆออกมาจ้องมองเพื่อนทั้งสองอย่างไม่เชื่อสายตา
ที่จริงเขาก็อยากลองออกไปสูดอาการข้างนอกบ้างแต่ไม่อยากสร้างความยุ่งยากนัก และในช่วงแรกๆคุณหมอเองก็เป็นห่วงเขาอยู่ด้วย
“เอาล่ะไปกันเถอะ!”
“อือ ขอบใจนะ”
ทั้งสองอึ่งไปพักเมื่อได้ยินคำๆนี้หลุดจากปากเพื่อนของเขา ถึงจะรู้ว่าอาจจะเพราะยังจำอะไรไม่ค่อยได้ว่าปกติตนเองปฏิบัติตัวยังไง แต่มันก็อดรู้สึกดีไม่ได้
“ย๊ะฮ่า พอนายพูดจาแบบนี่แล้วรู้สึกขนลุกชอบกลแฮะ”
“โฮ่ยๆ”
“ฮ่าๆๆ ใจจริงของหมอนี่อาจจะเป็นอย่างนี้ก็ได้นะ”
มิยูกิหน้าขึ้นสีนิดหน่อยก่อนจะตัดสินใจพูดขัดแก้เขิล
“พาฉันไปได้แล้วน่ะ!”
“คร้าบๆ”
หลายๆครั้งฉันก็สงสัยว่าตัวฉันเมื่อก่อนปฏิบัติกับคนเหล่านี้ยังไงกัน…เฮ้อ
…
ความอบอุ่นจากแสงแดดอ่อนๆที่ไม่ได้สัมผัสมานาน เสียงใบไม้ที่กระทบกับลมเอื่อยๆ ดอกไม้ใบหญ้าที่มีให้เห็นอยู่ทั่วไป และผู้คนที่กระจายกันอยู่เป็นหย่อมๆ
ข้างนอกมันเป็นอย่างนี้สินะ ไม่มีอะไรให้น่าตื่นเต้นมากนักแต่มันกลับทำให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
“ท่าจะชอบแฮะ”
“หืม?”
“ไม่มีอะไรฮ่าๆ อยากไปตรงไหนไหม พวกฉันจะพาไป”
คุราโมจิและโซโนะที่ซุบซิบกันอยู่สองคนเมื่อครู่หันมาถามเขา
“ก็ไม่มีที่ๆอยากไปหรอก แค่ได้ออกมาอย่างนี้ก็ดีแล้ว ร่างกายฝืดจะแย่ อื้อออ”
คนที่นั่งอยู่บนรถเข็นบิดขี้เกียจไปมา
ทั้งสองพอได้เห็นท่าทีของอีกฝ่ายก็หันไปยิ้มให้กัน รู้สึกดีใจที่เพื่อนสนิทของพวกเขาดูมีชีวิตชีวาขึ้น
ตอนที่รู้เรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น พวกเขาตกใจมากและยิ่งรู้สึกตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อรู้ว่ามิยูกิจำพวกเขาและคนอื่นๆไม่ได้ ดูเหมือนว่าความทรงจำตั้งแต่ช่วงมัธยมจนถึงปัจจุบันจะขาดๆหายๆ
และตั้งแต่วันนั้นเป้นต้นมาเพื่อนของพวกเขาที่เคยมีรอยยิ้มกวนประสาทเป็นของคู่กายคนเดิมก็ได้หายไป
พวกเขาจึงตัดสินใจช่วยกันทำในสิ่งที่ทำได้…
“ฮี่ๆ บางทีฉันก็คิดนะ~ พวกนายเนี่ยเหมือนแม่หรือพี่เลี้ยงไม่มีผิด อ่า…อย่างนี้ฉันก็ดูเหมือนเด็กไปเลยสิ ไม่ดีๆ”
“…ไอ้นี่”
ความกวนประสาทคงเป็นสันดานของมันอยู่ดี
ครืนๆ
จู่ๆเสียงโทรศัพท์มือถือของคุราโมจิก็ดังขึ้น เมื่อเขาหยิบมันขึ้นมาและรู้ว่าเป็นใครจึงรีบรับในทันที
“ครับ! ฮัลโหลเรียวซัง! เอ๊ะ เอาอะไรมาเยอะแยะครับนั้น …ขอโทษที่เสียงดังครับ อ่อของพวกเซมไปเหรอครับ อ่า…โอเคครับ โซโนะก็อยู่ด้วย จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”
“มีอะไรเหรอ”
หลังจากที่สายวางไปโซโนะก็ถามด้วยความสงสัย
“เรียวซังมาส่งส่วยน่ะ พวกเซมไปฝากของมาเยี่ยมเพียบ เลยสั่งให้ไปช่วยยกมาน่ะ”
“อ่อ…”
ทั้งคู่ทำหน้าชั่งใจ อดเป็นห่วงมิยูกิไม่ได้ ไม่กล้าทิ้งไว้
“พวกนายไปกันเถอะน่ะ ฉันไม่ใช่เด็กอนุบาลนะ ทำเป็นคุณแม่ห่วงลูกไปได้ ฮ่าๆๆ”
“สักป้าบดีไหมเนี่ย…”
คุราโมจิได้ยินดังนั้นก็กัดฟันทำตาเขียวใส่ เช่นเคย…โซโนะต้องห้ามเอาไว้
“นายนิ…งั้นอย่าไปไหนไกลล่ะ เดี๋ยวพวกฉันจะรีบกลับมา”
“โอ้”
มิยูกิทำท่ารับทราบ จากนั้นทั้งสองก็ออกเดินไปโดยมีคุราโมจิที่ยังคงบ่นกระปอดกระแปดเกี่ยวกับความกวนประสาทของเขา
ฮ่าๆๆ ตลกชะมัด ขอบใจที่เป็นห่วงกันนะ
.
.
.
สถานที่แห่งนี้คือสวนสาธารณะส่วนกลางของโรงพยายาบาล มีทั้งผู้ป่วย ญาติ และคนจากข้างนอกเข้ามานั่งนอนพักผ่อนหย่อยใจทุกวันเป็นปกติ
เขาก็เคยเห็นระหว่างทางไปทำกายภาพบำบัดบ้าง ไม่คิดเหมือนกันว่าจะเป็นสถานที่ด้านนอกที่แรกที่จะได้มาสัมผัส
เป็นที่ๆดีนะ
รอยยิ้มบางๆถุกคลี่ออกมา สายตายังคงมองไปรอบด้านด้วยความสงบใจ
“เฮ้อ…”
เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พลางคิดนู้นคิดนี่ไปเรื่อยแต่แล้วหูของเขาก็ดันได้ยินบางอย่างที่น่าสนใจจนทำให้เขาถึงกับต้องเบือนหน้าหันไปมองผู้พูดที่นั่งหันหลังอยู่ที่ม้านั่งไม่ไกลจากเขามากนัก
“คุณปู่เพิ่งเสียคนรักไปเหรอครับ’
“อือ….”
“…เสียใจด้วยนะครับ”
“ฮ่าๆ ฉันไม่เศร้าใจเรื่องที่เราต้องจากกันหรอกนะ พวกเราอยู่กันมานานเกินแล้วอีกไม่นานคงได้เจอกัน”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ…”
“….”
บรรยากาศช่างดูอึมครึม การต้องจากลากับคนที่เป็นที่รักมันเศร้า…เขาเข้าใจดี
แม่ของเขา…และ
และ…?
ชั่วขณะหนึ่งบางสิ่งมันขึ้นมาจุกอยู่ที่อก ภาพบางอย่างในหัวสมองถูกฉายขึ้นมาแต่มันกลับเป็นเพียงแค่เสี่ยววินาทีเท่านั้นก่อนที่จะหายไป
ฉันกำลังจะพูดว่าอะไรกัน
บทสนทนายังคงดำเนินต่อไปโดยมีชายชราเป็นผู้เล่าเสียส่วนใหญ่ มิยูกิยังคงแอบลอบฟังอยู่อย่างนั้นโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้สนใจนัก
แต่แล้วจู่ๆเด็กหนุ่มที่เป็นผู้ฟังที่ดีอยู่นานก็พูดขึ้น
“วันนี้ผมมาเยี่ยมคนๆหนึ่งครับ เขา…”
“คนรักสินะ”
ชายชราพูดยิ้มๆอย่างรู้ทัน ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปพักเหมือนไม่มั่นใจบางอย่างก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
“เขายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม”
“ฮ่าๆๆยังอยู่ครับยังอยู่ น่าจะอาการดีขึ้นแล้วด้วย”
“เป็นเช่นนั้นก็ดีไป ดูแลเขาให้ดีๆล่ะ”
“…แต่ว่า”
“…..”
มิยุกิเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาสที่หนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ
ชักจะรู้สึกผิดที่แอบฟังแฮะ
ดูทีท่าแล้วเพื่อนของเขาคงจะยังไม่กลับมาในอนาคตอันใกล้เป็นแน่เขาจึงตัดสินใจจะเคลื่อนย้ายไปยังจุดอื่น
แต่…
กึก…กึกๆ
มันใช้ยังไง
ลืมคิดไปสนิท ไม่เคยได้ใช้ด้วยสิ แล้วอย่างนี้จะไปไหนได้เนี่ย!
“จิ๊…ให้ตายสิ”
“ขอโทษนะครับ ต้องการให้ช่วยอะไรหรือเปล่า”
“อ่า…”
จู่ๆเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง เมื่อเขาเอี้ยวตัวหันไปมองผู้พูดก็พบว่าเป็นชายหนุ่มคนที่เขาถือวิสาสะแอบฟังบทสนทนาของเจ้าตัว
ตายล่ะ
เด็กหนุ่มยิ้มอย่างเป็นมิตรระหว่างเดินมาทางเขา
รอยยิ้มนั่น…
มิยูกิจ้องมองคนๆนั้นด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อได้เห็นรอยยิ้มและใบหน้านั้นชัดๆ แต่ไม่ทันได้คิดอะไรต่อ เขาก็สังเกตเห็นว่าคนๆนี้มีท่าทีตื่นตระหนกไปชั่วขณะเมื่อเห็นใบหน้าของเขา…
เอ๊ะ?
ดวงตากลมตาโตของชายหนุ่มมองเขานิ่ง ท่าทางตื่นตระหนกเมื่อครู่ถูกทำให้หายไปในชั่วพริบตาเมื่อรู้ตัวว่าตนกำลังถูกจ้องกลับ
มิยูกิตัดสินใจส่งยิ้มให้อีกฝ่ายแทนและทักออกไป
“เอ่อ…ขอโทษนะครับ”
“อะเอ๊ะ ค…ครับ”
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ท่าทางแปลกๆนะ หรือว่า…”
“เห๊ะ ป…เปล่าครับ ฮ่าๆๆ”
แปลก…
ดูเหมือนจะตกใจที่ได้พบกัน หรือเขาจะรู้จักฉัน…แต่ถ้ารู้จักกันจริงๆก็น่าจะคุยกันเป็นธรรมชาติมากกว่านี้สิ
ก่อนที่เขาจะตั้งคำถามกับตัวเองไปมากว่านี้ เด็กหนุ่มก็ทักขึ้นมาด้วยท่าทีที่ใจเย็นขึ้น
“คุณอยากไปตรงอื่นใช่ไหมครับ ล้อมันล็อคอยู่น่ะ ผมจะปลดล็อคให้นะ”
“โอ๊ะ มันล็อคอยู่นี่เอง ฮ่าๆๆ”
มิยูกิหัวเราะแก้เกร่อ รู้สึกอายนิดหน่อยที่ไม่รู้วิธีการใช้เจ้านี่ทั้งๆที่มันดูง่ายมากแท้ๆ
เขาคนนั้นเดินเข้ามาปลดล็อคล้อให้ นัยน์ตาสีน้ำตาลจดจ้องทุกการกระทำของอีกฝ่าย แต่จู่ๆเจ้าตัวกลับเงยหน้าขึ้นมาทำให้ดวงตาสีอำพันประสานเข้ากับสายตาของเขาพอดี
ตานั้น…
ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้เปิดโอกาสให้เขาได้คิดอะไรต่อ เจ้าตัวก็รีบลุกขึ้น
“คงจะใช้ได้แล้วล่ะครับ ถ้างั้น…ผมขอตัวก่อนล่ะ”
“อ…โอ้ ขอบใจนะ”
มิยูกิรู้สึกเคลือบแคลงใจกับท่าทีของอีกฝ่ายแต่ก็เลือกที่จะหยุดความคิดต่างๆนานาลง
ฉันอาจจะเคยไปทำอะไรให้เขาหรือเปล่านะหรือเขาจะรู้ว่าฉันแอบฟังอยู่
จากนั้นเขาก็ตัดสินใจหมุนล้อเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเพื่อพยายามไปทางจุดอื่นแทน
แต่แล้ว…
กึก!
“เหวอ!”
จู่ๆเจ้ารถเข็นก็ดันเสียสมดุลเพราะก้อนหินที่เขาไม่ทันได้มอง ร่างกายเขาไม่มีแรงพอที่จะช่วยยัดตัวเขาเอง ภาพด้านหน้าเริ่มโอนเอียงตามแรงโน้มถ่วงไปอย่างช้าๆ
ล้มแน่!
“มิ…!”
ห๊า?
ฟึบ!
ภาพเบื่องหน้ากลับมาอยู่ในแนวขนานอย่างเดิม ใจที่หล่นวูบไปเมื่อครู่ด้วยความตกใจกลับมาเป็นปกติ แต่จังหวะการเต้นของหัวใจกลับแรงและเร็วกว่าเมื่อครู่เมื่อเขาเริ่มรู้ถึงสัมผัสจากอ้อมแขนของใครบางคนและแรงกอดที่ช่วยพยุงเขาเอาไว้
ตึกตัก
ตึกตัก
ตึกตัก…
ความรู้สึกนี้มัน…
“…..”
เวลาเหมือนหยุดไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่มีใครพูดอะไรไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
พอเรียกสติได้มิยูกิก็หันไปมองคนที่ช่วยเขาเอาไว้ซึ่งเขาพอจะเดาได้ว่าเป็นใคร
กลุ่มผมสีน้ำตาลยังคงซุกอยู่ด้านหลังของเขา เจ้าตัวยังคงนิ่งอยู่ท่าเดิมไม่พูดอะไร จนกระทั้งมิยูกิยกมือขึ้นแตะไปที่ท่อนแขนของอีกฝ่าย
“อ๊ะ!”
“…..”
เจ้าของกลุ่มผมสีน้ำตาลดูตื่นตกใจ เขารีบผงะถอยหลังออกไป ตาโตจ้องมองมาที่มิยูกิด้วยความรู้สึกที่ปะปนกัน ก่อนจะเฉมองไปทางอื่นแทนเพื่อหลบสายตาของอีกฝ่ายที่จ้องมองมา
“นาย…”
“ม…ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
“เอ๊ะ อ้า…”
ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ไม่มีบทสนทนาอะไรอีก ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่อยู่ในหัวของพวกเขา
เมื่อกี้เขาเรียกชื่อฉันหรือเปล่า
จนได้…
แล้วไอ้ท่าทีนั้นมันคืออะไร
ไม่น่าเลยฉัน ชักไม่ดีแล้วสิ
สายตานั้นมันแปลว่าอะไร
อย่ามองมาทางฉันแบบนั้น
นายรู้จักฉันใช่ไหม เรารู้จักกันใช่ไหม
ฉัน…
ความรู้สึกนี่ หัวใจ…ทำไม มันเต้นแรงขนาดนี้
มันช่างน่าเจ็บใจนัก
สัมผัสนั่น มัน…คุ้นเคย
‘คิดถึงเหลือเกิน’
“นายเป็นใครกันแน่”
“…..”
“ฉันถามว่านายเป็นใคร”
มิยูกิยังคงจ้องมองไปทางเด็กหนุ่มที่ยืนก้มหน้านิ่ง เขาพยายามเพ่งมองทุกอย่าง ทุกส่วน ทุกการกระทำ
ทำไมไม่ตอบ …
.
.
‘มิ…’
.
.
“อึก! จิ๊….”
ชั่วครู่หนึ่งภาพบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง เป็นภาพของใครบางคนที่ชัดเจนมากขึ้นกว่าเมื่อสักพัก
ใคร!
ในหัวรู้สึกสับสนไปหมด อาการปวดแปลบสลับกับแรงกดเหมือนถูกบีบที่ขมับอย่างแรงแล่นเข้ามาอย่างเฉียบพลัน
ยิ่งใช้ความคิด ยิ่งขุดค้นลงไปเพื่อหาคำตอบเท่าไหร่ ความเจ็บปวดก็ยิ่งทวีคูณ
เจ็บ…ปวด…
“ฮึก…ทำไม”
ภาพเบื้องหน้าเริ่มพร่ามัว เหงื่อไหลซึมตามร่างกายผิดกับผิวกายที่เย็นลง ลมหายใจหอบถี่ ความเจ็บปวดที่หัวยังคงเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้น
มือหนากุมศีรษะของตนเอง ก้มหน้าขดตัวลงเพราะความเจ็บปวด
เมื่อเด็กหนุ่มสังเกตเห็นสิ่งปกติเขาจึงแสดงสีหน้าเป็นห่วงออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“ป…เป็นอะไรหรือเปล่า”
“นาย…เป็นใคร”
“…..”
“โฮ่ยมิยูกิ!”
เสียงตะโกนดังขึ้นจากอีกทาง เพื่อนๆของเขากลับมาพร้อมข้าวของพะลุงพะลัง แต่เมื่อเห็นท่าทีที่ไม่ปกติของเขา ทุกคนจึงรีบวิ่งมาดูอาการ
“เฮ้ยเป็นอะไร!”
“ปวด…หัว แฮ่ก…แฮ่ก”
“ใจเย็นๆนะมิยูกิ หายใจลึกๆสิ”
เป็นคุราโมจิที่วิ่งมาถึงก่อน เขามัวแต่เป็นห่วงเพื่อนสนิทจนไม่สังเกตเห็นอีกคนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่แรก
เขาพยายามตรวจเช็คเพื่อนของเขาและหาวิธีทางที่จะทำให้อาการสงบลง รีบบอกให้โซโนะไปเรียกพยาบาลมา
แต่แล้วเขาก็เหลือบไปเห็นบุคคลที่ยืนห่างออกไป เมื่อเขารู้ว่าเป็นใครเขาก็ถึงกับพูดไม่เป็นศัพท์
“นาย….”
“……”
“คุราโมจิ…หมอนั้น ใคร”
มิยูกิยังคงพยายามพูดออกมาแม้เรี่ยวแรงจะแทบไม่มี เขายังคงจ้องเขม่งไปยังบุคคลเดิม
เพื่อนของเขาบัดนี้ปั้นหน้าไม่ถูก สายตายังคงจ้องมองไปทางเด็กหนุ่มไม่กระพริบตา สุดท้ายคำพูดก็หลุดออกมาจากเรียวปากนั่น
“ซาวามูระ…มาที่นี่ได้ยังไง”
ว่าอะไรนะ
ความรู้สึกและสัมผัสต่างๆหยุดทำงาน มีเพียงดวงตาที่เบิกกว้างมองไปในทิศทางเดิม
.
.
.
‘ซาวามูระ’
“ซา…”
ก่อนที่จะได้พูดอะไรออกมา ปากของเขารู้สึกหนักเหมือนโดนยาชา ร่างกายสั่นไปหมด และความรู้สึกสุดท้ายที่เขาได้รับคือความเจ็บดั่งค้อนทุบลงมาที่กลางหัว
ทุกอย่างเหมือนกำลังจะแตกละเอียด…พร้อมกับภาพที่ปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจนในเลวลาเดียวกัน
.
.
.
.
‘มิยูกิเซมไป’
อย่า…หยุดเถอะ
‘ปล่อยฉันเถอะนะ…’
.
.
.
.
“อ๊ากกก!!!”
เมื่อภาพนั้นมลายหายไป มิยูกิก็แผดเสียงดังลั่นด้วยความเจ็บปวด เขาดิ้นทุรนทุรายไม่หยุดจนร่างล้มลงกับพื้น
ตึ้ง!
“มิยูกิ!”
นั่นคือเสียงสุดท้ายที่เขาได้รับรู้…
เสียงจากเด็กหนุ่มที่วิ่งมาทางเขาและกำลังร้องไห้ออกมา…
จากนั้นทุกๆอย่าง…กลายเป็นสีดำมืดไป…
.
.
.
.
.
‘มิยูกิเซมไป’
เสียง ดวงตา และรอยยิ้มนั่น…
ฉันโหยหาเหลือเกิน
.
.
.
.
.
แต่
‘นายเป็นใครกัน’
***To be continue***
———–
รู้สึกฟิตมาก…ด้วความบ้าช้ำใจจากการซุยข้อสอบ
ที่จริงแต่งจบไปเมื่อคืนเพราะนอนไม่หลับอยากแต่ง แต่แน่นอนว่ามันต้องแก้หลายรอบทั้งเนื้อหาและคำต่างๆ
By my side เป็นเรื่องแรกเลยที่แต่งตอนต่อ เรื่องอื่นไม่จบตอนเดียวก็เป็นside story ภูมิใจเล็กๆ555 แต่ก็ทำให้แอบคิดวชมากเหมือนกันว่ามันจะดีพอหรือเปล่า หวังว่าจะชอบกันบ้างนะTvT
ช่วงนี้โหมทำอะไรหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน แต่ก็เสร็จเป็นส่วนๆและอย่างๆไปนะ โรคจิตกลัวไม่ได้ทำ55 ชอบพูดว่าไม่ค่อยว่างแต่เพราะชอบหาอะไรทำตลอดเวลามากกว่า แต่เวลาขี้เกียจนี่จะน่ากลัวมาก…อาจจะนอนกลายเป็นศพได้
วันนี้ลาล่ะ จะพยายามในหลายๆอย่างนะ ขอบคุณเพื่อนๆที่อ่านกัน สามารถติชมกันได้นะ!