*แก้คำและเช็คคำผิด 5/11/18
Blind in the rain 2.0 : Misawa
อ๊บ ๆ อ๊บ ๆ….
เขาบอกว่ากบน่ะจะมีความสุขที่สุดเมื่อฝนตกสินะ…
.
.
.
หยดน้ำใสยังคงตกลงมาจากท้องฟ้าอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ ผิดกับความอบอ้าวในช่วงบ่าย
เนื้อกายที่อยู่ใต้ร่มผ้านั้นแม้จะอยู่ใต้เสื้อสองชั้นก็ยังรับรู้ได้ถึงความเย็นจากหยดน้ำใสนี่ได้
“ชักเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ แล้วสิ”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีหม่นและจ้องมองหยดน้ำใสที่กำลังจะตกลงมาจากปลายร่มของเขา
“อ๊บ อ๊บ…”
เขาหลุดออกจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงจากเพื่อนร่วมโลกของเขาที่อยู่ไม่ไกลนัก
“ว่าไง….”
หลังจากกล่าวทักทายเขาก็ค่อย ๆ นั่งลงยอง ๆ จ้องมองเจ้ากบน้อยตรงหน้า เมื่อมองลึกลงไปก็พบว่าตาใส ๆ ของเจ้ากบนี่มีภาพของตัวเขาสะท้อนอยู่ และมันก็ทำให้เขาเกิดนึกถึงเรื่องเมื่อครู่…
…สิ่งที่สะท้อนในดวงตาคู่นั้น
เด็กหนุ่มเหม่อมองใจลอยจนลืมไปว่าขณะนี้เป็นเวลาที่เขาควรจะเข้าร่มหรือหาที่หลบฝนเสียมากกว่า สภาพอากาศเริ่มแปรปรวนมากขึ้น ฝนตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับอากาศที่เย็นลง แต่ตัวเขากลับไม่รับรู้สิ่งที่เป็นไปนัก
“ อ๊บ!”
เช่นเคยเพื่อนใหม่ของเขาเป็นคนช่วยเตือนสติ
“โอ้! นั้นสินะ ฉันมั่วมานั่งทำอะไรเนี่ย! บ้าบอ ๆ”
เมื่อเขาเรียกสติได้ก็ตบแก้มตัวเองทั้งสองข้างและชูมือตะโกนเสียงดังออกมา
“โอ้ววว—”
แต่แล้วยังไม่ทันที่จะได้ตะโกนสุดเสียง จู่ๆ เขาก็รู้สึกเสียสมดุลเพราะแรงกระแทกจากด้านหลัง หน้าของเขาแทบจะลงไปจูบกับเจ้ากบเพื่อนรักเลยทีเดียวแต่โชคดีที่เอามือยันพื้นทัน..
“อะไรเนี่ย!”
“ห๊ะ กล้าขึ้นเสียงกับฉันเหรอ เจ้าบากะมูระ”
“อ..เอ๊ะ คุ…คุราโมจิเซมไป!”
เมื่อได้ยินเสียงห้าวนั่นเขาก็แทบจะรู้ทันทีว่าคนด้านหลังคือใครโดยที่ไม่ต้องหันไปดู
“มาทำบ้าอะไรตรงนี้วะ แกล้งกบอยู่รึไง”
“ไม่ใช่นะ! เราเป็นเพื่อนกันต่างหาก!”
“ห๊า…”
คุราโมจิเลิกคิ้วสูง จ้องมองเจ้ากบสลับกับรุ่นน้องของเขาก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ
เอาเถอะ…ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเจ้านี่
“เออ ๆ งั้นก็ร่ำลาเพื่อนแกได้แล้ว ฝนตกขนาดนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งคุยกับมันหรอกนะ”
“อ่า…นั้นสินะ ฮ่า ๆ”
พอคิดว่าจะต้องเดินออกจากตรงนี้ไปสายตาของซาวามูระก็ดูหม่นลง รอยยิ้มเจือน ๆ และเสียงหัวเราะฝืน ๆ นั่นมีเหรอที่คุราโมจิจะไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ
เขาจ้องมองซาวามูระที่ยังคงทำเป็นพูดคุยกับเจ้าเพื่อนร่วมโลกตัวน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาและตัดสินใจเอื้อมมือไปจับเข้าที่ปกเสื้อลากคอรุ่นน้องงี่เง่าของเขาให้ลุกขึ้นให้เดินตามไป
“คุราโมจิเซมไป! ผมเดินเองได้”
“พูดมากน่ะ ฉันขี้เกียจรอ”
“…..”
จากที่เตรียมจะโวยวายต่อตอนแรก ซาวามูระกลับเปลี่ยนท่าทีแทบจะในทันที เขาเงียบไม่โต้ตอบอะไรต่อปล่อยให้รุ่นพี่ของตนลากไปอย่างนั้น
“ได้ให้ร่มหมอนั้นไปหรือเปล่า”
จู่ ๆ คุราโมจิก็พูดขึ้นมาเพื่อเดาสถานการณ์
“อืม…ก็…”
“หรือเจ้าหมอนั้นมันชิ่งกลับก่อน”
“….ก็ไม่เชิงน่ะ”
“หมายความว่าไงวะ”
คุราโมจิหันไปมุนคิ้วใส่รุ่นน้องของเขาที่บัดนี้กลับตัวมาเดินข้างๆเขาได้สักพัก
“เอ…จะว่ายังไงดีล่ะครับ เอาเป็นว่าเขาก็มีร่มใช้น่ะ”
“หืม…”
ตาเรียวจ้องมองคนข้างกายที่พูดคำตอบแปลกๆออกมา ก็มันจะไปมีร่มใช้ได้ยังไง ในเมื่อมันยังมาขอเขาเมื่อตอนพักเที่ยงอยู่เลย และเขาเชื่อว่ายังไงมันก็ไม่น่าไปยืมหรือไปเดินใต้ร่มคันเดียวกับใครได้
ต้องมีอะไรแน่ๆ…
“ก็ดีแล้วล่ะครับ แค่ไม่เปียกฝนเป็นลูกหมาแบบวันนั้นก็ดีแล้ว…”
ซาวามูระยิ้มบางๆออกมาพลางก้มมองพื้นน้ำตื่นๆที่เขากำลังจะเดินข้ามไป
เฮ่ย…
ยิ่งได้ฟังแต่ละอย่างที่อีกฝ่ายพูด มันก็ยิ่งทำให้สงสัยมากขึ้นว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มันต้องมีอะไรแน่ๆ แต่พอรู้ตัวอีกทีพวกเขาก็แทบจะเดินถึงหน้าหอของตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และที่นั่นก็ทำให้คุราโมจิเห็นภาพบางอย่างที่ไม่คุ้นตายิ่งนัก
“ห๊าา–อุ๊บ!”
ยังไม่ทันที่คุราโมจิจะได้อุทานเสียงดัง มือจากด้านหลังก็ยื่นมาปิดปากเขา แล้วแรงแขนนั่นก็ดึงเขาให้เข้าไปในซอกตึกอีกด้านแทน
“ทำบ้าอะไ–”
“ชู่….”
คุราโมจิเกือบจะโวยวายเสียงดังออกมาแต่ก็หยุดลงเมื่อเห็นรุ่นน้องตรงหน้าทำท่าทางบอกเป็นนัยว่าให้เงียบเสียงลง
“อะไรของแกวะ…”
ใช่แล้วภาพที่เขาเห็นตรงหน้ามันไม่คุ้นตาจริงๆ ไม่ใช่แค่สำหรับเขาแต่รับประกันได้เลยว่าสำหรับคนอื่นก็เช่นกัน…
ภาพของมิยูกิเพื่อนของเขากับ…เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
“ขอบใจมากนะที่มาส่ง”
“ม…ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ!”
“อืม…รีบกลับบ้านเถอะ ก่อนที่ฝนจะตกหนักยิ่งกกว่านี้”
มิยูกิกำลังพูดคุยอยู่กับผู้หญิงคนนั้นด้วยใบหน้าที่ดูอ่อนโยนกว่าปกติ เขายิ้มบางส่งให้เด็กสาว มันทำให้เธอยิ่งเขินอายก้มหลบงอคอจนแทบจะมุดเสื้อได้
ภาพทั้งหมดและเสียงของบทสนทนานั่น สองคนที่ซ่อนอยู่มุมตึกเห็นและได้ยินมันอย่างชัดเจน เมื่อดูเหมือนบทสนทนากำลังจะจบลง ซาวามูระจึงนั่งลงพิงไปกับกำแพงแทน เลิกสนใจภาพนั่นและบทสนทนาที่อาจจะมีต่อ…
“เจ้ามิยูกิ…เดี๋ยวนี้ไปเอาสกิลอ่อยสาวมาจากไหนวะ”
รุ่นพี่ของเขาที่ยังคงแอบดูอยู่พึมพำด้วยท่าทางที่หงุดหงิด
“เฮ้ยซาวามูระ นี่มันเรื่องใหญ่ข่าวเด็ดเลยนะ ต้องเอาไปป่าวประกาศให้ทั่ว!”
คุราโมจิยิ้มเจ้าเล่ห์ทำหน้าพอใจ แต่เมื่อเขาหันไปพบสีหน้าและท่าทางที่ดูหมองลงของคนข้างกาย ไม่ถึง5วินาทีเขาก็ประมวลทุกอย่างได้ …สมแล้วที่เป็นคุราโมจิ
“อ่ออย่างนี้นี่เอง…”
เขาหรี่ตามองซาวามูระที่นั่งกอดเข่าเหม่อมองพื้น
ไอ้เด็กนี่…สงสัยต้องช่วยสักหน่อย
“อ่าว! ซาวามูระ! แกมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้วะ!”
คุราโมจิ(จงใจ)ตะโกนออกมาเสียงดัง ซาวามูระเงยหน้ามองรุ่นพี่ของเขาด้วยท่าทางนิ่งอึ้ง ยังไม่ทันที่เขาจะได้มีโอกาสพูดอะไรเจ้าตัวก็ชิงเดินออกไปก่อนเสียแล้ว
เสียงนั่นแน่นอนว่าคู่สนทนาที่อยู่ไม่ไกลก็ต้องได้ยิน เมื่อเจ้าของเสียงปรากฏกาย มิยูกิแทบจะกุมขมับในทันที เขาจ้องมองหน้าเพื่อนสนิทที่เห็นก็รู้ว่าไม่ได้มาดีแน่ๆ
ใครเห็นไม่ว่า…เป็นหมอนี่เสียได้ หมดกัน…
ว่าแต่เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ? ซาวามูระ?
เขาสลดได้สักพักก็เลื่อนสายตามองไปทางที่คุราโมจิเดินมา แต่มันกลับไม่มีวีแววของเจ้าของชื่อ
“ฉ…ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ!”
สาวน้อยที่อยู่ไม่ไกลตัวเขาพูดขัดขึ้น เธอเพียงกล่าวแค่นั้นและหันไปทักทายคุราโมจิพอเป็นนพิธีก่อนจะรีบวิ่งออกไป…ดูท่าจะตกใจและอายน่าดู
“วิ้ววว นั่นมันสาวป๊อปหลังห้องนี่นา”
พอเห็นสาวเจ้าไปแล้วคุราโมจิก็เริ่มเปิดฉากใส่เขาทันที
“อ่าวนายรู้จักด้วยเหรอ”
“รู้สิเว้ย ก็เพื่อนห้องเดียวกันนิ แกเพิ่งรู้สินะ ถึงได้พูดอย่างนี้!”
ไอ้นี่นิ…รู้ดีจริงๆ
“แทงใจดำล่ะสิ เคี๊ยกฮ่าๆๆๆ”
มิยูกิทำท่ากรุ่มใจหนักเฉมองไปทางอื่นไม่ตอบอะไรเพราะเถียงไม่ได้
“ว่าแต่…อย่ามาเปลี่ยนเรื่องสิเว้ย! แกอยู่กับเธอได้ยังไง เดี่ยวนี้หัดป้อสาวเหรอวะ”
“ห๊ะ…ป้อ? ยังไง…”
“….”
มิยูกิทำหน้างงเลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัย คุราโมจินิ่งไปชั่วขณะเมื่อรับรู้ว่าเพื่อนของเขานั้นไม่เข้าใจสิ่งที่เขาสื่อ เขาค่อยๆอ้าปากและระเบิดหัวเราะออกมาแทน
“นี่นาย…เคี๊ยกฮ่าๆๆๆ โอ้ยขำว่ะ ไม่ไหวแล้ว ตลกเว้ย นี่ไม่รู้เลยจริงดิ”
สภาพของคุราโมจิตอนนี้ถ้าทำได้คงกลิ้งลงไปขำกับพื้นแล้ว…
“โฮ่ย!”
“ซาวามูระมาดูหน้าเจ้าหมอนี่ดิ!”
ซาวามูระ…
“หมอนั้นอยู่ตรงนั้นเหรอ?”
“เออดิ…ออกมาได้แล้วน่ะ”
คุราโมจิหันไปเรียกรุ่นน้องของเขาแต่กลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆ มิยูกิจ้องมองตามมุมที่คุราโมจิมองไปเพื่อรอคนที่คิดว่ากำลังจะปรากฏออกมา
“เฮ้ย ถ้าไม่ออกมาฉันจะบอกหมอนี่นะว่าเมื่อวานแกนะเตรีย—”
“ว้ากกก!!!”
เสียงตะโกนแสบแก้วหูดังขึ้นก่อนที่คุราโมจิจะพูดจบ เด็กหนุ่มรีบวิ่งออกมาจากมุมที่ซ่อนอยู่ทันที
ทั้งคู่ตกใจพอสมควร เป็นคุราโมจิที่ก้มลงกุมท้องตัวเองเหมือนพยายามกลั้นขำก่อนในขณะที่มิยูกิยังคงจดจ้องไปที่คนที่เพิ่งปรากฏออกมาด้วยความงุนงง
ดวงตาสีอำพันคู่เดิมจ้องมาทางเขาเขม็งแต่สักพักมันก็หลุบลงหลบมองไปทางอื่น สีหน้าที่ดูจะตื่นตระหนกในตอนแรกกลับกลายเป็นสีหน้าปั้นยาก เจ้าตัวดูสับสนและทำอะไรไม่ถูก
นี่มันอะไรเนี่ย…
พอซาวามูระสงบสติได้ก็ก้าวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าทั้งสอง
“ฉ…ฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้น! ไปล่ะ!”
จากนั้นเจ้าตัวก็เดินดุ่มๆออกไปแต่ไม่ลืมที่จะหันมาพูดย้ำกับคุราโมจิอีกครั้ง
“ห้ามพูดอะไรนะ!”
แล้วเขาก็วิ่งออกไปโดยไม่หันมาสนใจทั้งคู่อีกเลย
“อะไรของเจ้าเด็กนั้น…”
มิยูกิพึมพำพลางมองตามหลังคนที่วิ่งออกไป จากนั้นเขาจึงหันมามองเพื่อนของเขาเพื่อหาคำตอบ
“หึๆๆ นี่แกยังไม่เข้าใจอะไรอีกเหรอ”
“ห๊ะ?”
“อ่า…เอาเถอะ ฉันพอใจล่ะ ไม่ยุ่งแล้วดีกว่า”
หลังจากทิ้งความกำกวมไว้ด้ยประโยคคำถามที่รู้ดีว่าจะไม่ได้คำตอบกลับ คุราโมจิยืดตัวขึ้นและเตรียมพร้อมจะเดินออกไปบ้าง
“โฮ่ยอย่าเพิ่งไปสิ! นายหมายความว่ายังไง ฉันไม่เข้าใจอะไร แล้วไอ้ที่นายกำลังจะพูดตอนนั้นคืออะไร”
มิยุกิหยุดเขาไว้ เจ้าตัวทำสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น ท่าทางสงสัยใคร่รู้และคิดว่าตนเองจะหาคำตอบไม่ได้จริงๆ ซึ่งคุราโมจิก็มองออก แต่สุดท้ายก็ได้แต่เลิกคิ้วมองอย่างระเหี่ยใจ
ไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆแฮะ
“เฮ้อ…บอกให้โง่ดิ”
“ห๊า…”
คุราโมจินิ่งไปสักพักและตอบเขาด้วยน้ำเสียงกึ่งยียวน ทำเอามิยูกิตอบโต้ไม่ถูกจนเผลอปล่อยมือไป คุราโมจิจึงเดินออกไปโดยไม่ได้สนใจเขาอีก
ดวงตาสีน้ำตาลใต้กรอบแว่นจ้องมองออกไป เหม่อมองไปตามทางที่คนทั้งสองเดินจากไปเมื่อครู่ ภาพตรงหน้าเหลือเพียงม่านฝนปรอยๆและและอาคารหอที่อยู่ไม่ไกล คิ้วหนาได้รูปเริ่มมุ่นเข้าหากัน จากนั้นเสียงถอนหายใจยาวก็ดังขึ้น
“เฮ้อออ…ให้มันได้อย่างนี้สิ”
ใช่…ฉันไม่เข้าใจ
“น่าหงุดหงิดนัก เจ้าคุราโมจิต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ แล้วไอ้ท่าทางของไอ้หนูนั่นมันหมายความว่ายังไง”
คิดสิมิยูกิ คาซึยะ เริ่มจาก…
“โฮ่ยมิยูกิมามัวทำอะไรตรงนี้เนี่ย ไม่ไปเตรียมตัวซ้อมเหรอ”
“…..?”
ก่อนจะได้เริ่มไตร่ตรอวอะไรจู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงจากด้านหลัง ทำให้ต้องหยุดความคิดทุกอย่างลง เมื่อหันไปก็พบว่าเป็นโซโนะเพื่อนของเขานี่เอง
“อ้าวโซโนะ…ถึงเวลาแล้วเหรอ”
“เออน่ะสิ รีบไปเร็ว”
จากนั้นโซโนะก็เข้ามาดันหลังเขาให้เดินไปด้วยกัน
เอาเถอะ…ค่อยว่ากันก็แล้วกัน
มันคงไม่ได้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว…
.
.
.
ติกต๊อก ติกต๊อก…กริ้งงง!
ปุ!
“งืม…”
มือหนาเอื้อมไปปิดเสียงนาฬิกาอันน่ารำคาญก่อนจะหดกลับมาอยู่ใต้ผ้าหมเหมือนเดิม กลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนที่โผล่พ้นออกมาจากผ้าห่มนั้นไหวไปมา เจ้าของเตียงยังคงพลิกไปพลิกมาเพื่อพยายามหาท่านอนที่คิดว่าจะทำให้หลับต่อได้สบายมากขึ้น
“เฮ้อ…”
เขาถอนหายใจและสุดท้ายก็ลืมตาตื่นขึ้นมาจ้องมองผนังห้องอันว่างเปล่าข้างหน้าด้วยใบหน้าที่อิจโรย
สุดท้ายก็นอนไม่ค่อยหลับ…
ถ้าจำไม่ผิดเพิ่งจะขมตาหลับได้เมื่อตอนตี3 แต่เนื่องจากเขาเป็นคนตื่นง่ายอยู่แล้วและไม่ว่าจะนอนกี่โมงก็จะตื่นเวลาเดิม มันจึงทำให้เขารู้สึกอ่อนเพลียกว่าปกติ
มัวแต่คิดเรื่องบ้าอะไรไม่รู้…
มิยูกิลุกขึ้นและออกเดินไปจัดการทำภารกิจชีวิตประจำวันของเขา วันนี้เขาไม่ได้นั่งทบทวนบทเรียนหรือจำลองแผนการการแข่งเหมือนทุกวันจึงเหลือเวลามากกว่าปกติ เขาเลยตั้งใจจะออกไปสูดอากาศข้างนอกเผื่อจะช่วยให้รู้สึกสดใสขึ้น
“บรื้อ~ เย็นชะมัด เมื่อวานฝนตกถึงช่วงมืดๆเลยนี่นะ”
เขาเช็ดแว่นที่ขึ้นฝ้าเพราะอากาศชื่น ก้าวเดินออกไปตามตัวหอจนมาหยุดอยู่ที่สนามซ้อม ช่วงเวลานี้ยังเช้ามากอยู่ เพื่อนๆของเขาส่วนใหญ่จึงยังไม่ตื่นกัน จะมีก็แต่เขาและอีกคน…
ว่าแล้วว่าต้องอยู่…
สายตาใต้กรอบแว่นจ้องมองออกไปยังพื้นสนามเบื้องหน้าที่มีเด็กหนุ่มหน้าตาคุ้นเคยกำลังวิ่งอยู่
เจ้าหนูนี่มักจะตื่นก่อนใครเพื่อนและออกมาวิ่งทุกๆเช้าในเวลาเดิมๆ
ฟิตชะมัด….
“หาว~”
บางครั้งเวลาเขาว่างก็จะชอบออกมาเดินเล่นอย่างนี้และมักจะเจอเจ้าหมอนี่ทุกครั้งจนมันเป็นความเคยชิน
มันก็ไม่น่าเบื่อดีนะ การที่ตื่นมาเจอหมอนี่คนแรกน่ะ
ไม่รู้ทำไมพอเห็นหน้าหรือได้พูดคุยกันเจ้าหนูนี่มักจะทำให้ความรู้สึกงวงเงียอ่อนเพลียนี่หายไปหมดทุกครั้ง
เขาเดินลงมานั่งที่ม้านั่งใต้ร่มมุมหนึ่งของสนาม จ้องมองคนที่ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตายกับล้อคู่ใจอันเดิม
ซาวามูระใกล้จะวิ่งครบรอบมาตรงที่เขานั่งอยู่ เขาจึงรอดูปฏิกิริยาเดิมที่กำลังจะมาถึง แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น…
“…..”
อ่าว…
ไม่มีคำทักทายใดๆ ซาวามูระเพียงเหล่มาแวบหนึ่งแล้วรีบเฉมองไปทางอื่น จากนั้นก็เร่งสปีดวิ่งออกไป
“โฮ่ย…”
มิยูกิแปลกใจถึงกับขนาดลุกขึ้นมาจ้องมองอีกฝ่ายที่ดูเหมือนพยายามจะวิ่งหนีเขา
เจ้าหนูนี่…
เขายืนกอดอกอยู่อย่างนั้นและยังคงจ้องซาวามูระไม่วางตา ซาวามูระยังคงวิ่งไปทำเป็นไม่สนใจและพยายามไม่มอง
แต่ยังไงก็ต้องวิ่งผ่านจุดนี้อีกรอบอยู่ดี… จะหนีไปทางอื่นก็ดูจะโจ่งแจ้งไป
พอเด็กหนุ่มใกล้จะวิ่งถึงจุดที่รถ่นพี่ของเขายืนอยู่ เขาก็เห็นว่าดวงตาสีน้ำตาลที่ยังคงจ้องมองมาทางเขา เขารู้สึกกดดันจนแสดงออกมทางสีหน้าอย่างไม่รู้ตัว
สัญชาตญาณของฉันมันบอกว่าฉันไม่ควรวิ่งผ่านตรงนั้น…
เมื่อซาวามูระคิดได้ดังนั้นาเขาจึงหยุดวิ่งลง
“เห้อ~ เหนื่อยแล้วสิ วันนี้พอดีกว่า”
เขายืนยืดตัวห่างจากจุดที่อีกฝ่ายยืนอยู่ประมาณสามสี่เมตร แกล้งมองไปทางอื่นเพราะรู้ว่าถ้าเห็นหน้าอีกฝ่ายตอนนี้คงทำอะไรไม่ถูกเป็นแน่
พอได้จังหวะเขาจึงรีบหมุนตัวหันเดินไปอีกทาง ตั้งใจว่าจะรีบกลับเข้าหอทันที แต่หลังจากก้าวไปได้เพียงแค่สองก้าว เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกคนที่ใกล้เข้ามา
เขารีบล่นถอยออกมาจากจุดนั้น ตั้งท่าป้องกันเต็มที่
“ม…มีอะไร มิยูกิ”
“คิดจะหนีไปไหนซาวามูระ”
“น…หนีอะไรกัน ก็แค่เหนื่อยแล้ว เลยจะกลับห้อง…”
“โกหก…”
“เปล่านะ!”
“งั้นก็มาทางนี้สิ”
มิยูกิกวักมือเรียกรุ่นน้องของเขาด้วยใบหน้าที่เดาอารมณ์ไม่ถูก
“…..”
ซาวามูระหรี่ตามองมือที่ยังคงกวักเรียก
เอาไงดี…
ตัวเขานั้นค่อนข้างสับสน ไม่มั่นใจเช่นกันว่าทำไมทำตัวเช่นนี้ รู้แค่ว่ารู้สึกทำตัวไม่ถูกและอึดอัดเมื่อต้องพบหมอนี่ ยิ่งให้เข้าไปคุยหรือมองหน้ายิ่งรู้สึกกระอักกระอวนอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ซึ่งปกติก็ไม่ได้เป็นขนาดนี้…
งั้นทางเดียวที่ฉันจะทำได้ตอนนี้คือ….
“ไปหาก็โง่สิ ฉันไม่ใช่หมานะ! แบร่~”
ซาวามูระตะโกนออกมาดังลั่นก่อนแลบลิ้นใส่รุ่นพี่ของเขา จากนั้นจึงรีบกลับตัวใส่เกียร์วิ่งออกไป เพื่อ…หนี
“โฮ่ย…ไอ้…เด็กบ้า! กวนนักนะ!”
คนอายุมากกว่ารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันก่อนจะออกตัววิ่งตามไป
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ซาวามูระ!”
“ไม่!”
วิ่งเร็วชะมัด สรุปจะเอาดีด้านนี้ใช่ไหมเนี่ย!
“รอก่อน เป็นบ้าอะไรของนายเนี่ย!”
“อย่ามายุ่งกับฉัน!”
“จิ๊”
ไม่ชอบใจเลย
ทั้งสองวิ่งไล่กันอยู่อย่างนั้นรอบสนาม…หลายรอบ จนกระทั่ง…
ปุ!
“หือ? อ้าวมิยูกิ!”
จู่ๆมิยูกิก็ล้มลงไปนอนกับพื้น ซาวามูระที่ตกใจจึงรีบวิ่งกลับมาหาแต่ก็ไม่ลืมเว้นระยะห่างเพราะกลัวว่าจะโดนอีกคนหลอกเอา
“นาย…ฮ่าๆๆ จะแกล้งหลอกให้ฉันหยุดวิ่งล่ะสินะ”
ร่างหนายังคงนอนแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น คนที่นั่งยองๆอยู่ไม่ไกลรู้สึกถึงความผิดปกติจึงค่อยๆกระเถิบเข้าไปหา เพ่งพินิจตรวจสอบดูก็พบว่าอีกฝ่ายนั้นมีใบหน้าซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด
“เฮ่ยมิยูกิอย่าเพิ่งตายนะ! เป็นลมเหรอ เอาจริงดิ!”
ซาวามูระเข้าไปเขย่าตัวมิยูกิเพราะเริ่มรู้สึกใจไม่ดี แต่แล้วจู่ๆมือหนาก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเขา
“เอ๋…”
“หึๆ”
มิยูกิค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาพร้อมยิ้มกว้าง
“หลอกง่ายจังนะ~”
“หนอย!”
คนที่โดนหลอกหน้าแดงด้วยความโกรธและเจ็บใจ เขาพยายามสะบัดขอมือออกพร้อมกับยันตัวลุกขึ้นเพื่อที่จะออกตัวหนี แต่แล้ว..
“คิดว่าจะไปไหนได้เหรอ”
“เหวอ!”
แรงดึงจากมือนั่นที่ไม่ยอมปล่อยข้อมือเขาบวกกับมืออีกข้างที่จับข้อเท้าของเขาไว้ทำให้เขาล้มลงเพราะตั้งหลักไม่ได้ และในที่สุดซาวามูระก็ถูกมิยูกิจับจนอยู่หมัด
“โอ๊ย…เล่นบ้าอะไรเนี่ย”
“ก็บอกให้หยุดแล้วไม่หยุดเอง”
คนที่ล้มหน้าขมำลงไปร้องโอดครวญในขณะที่อีกฝ่ายค่อยๆลุกขึ้นมาและเดินมาทางเขาพร้อมกับ…นั่งทับลงบนหลังของเขา
“เจ้าบ้า! มันหนักนะ!”
“โวยวายไปได้ แค่นี้ไม่ตายหรอก”
“ฮึ่ย!”
“เอ้าไหนว่ามาสิ ทำไมต้องหนีฉันด้วย”
“…”
คนที่โวยวายและดิ้นพร่านอยู่เมื่อครู่เงียบลง เจ้าตัวไม่โต้ตอบอะไร
มิยูกิจ้องมองกลุ่มผมสีน้ำตาลตรงหน้าแต่ซาวามูระไม่แม้แต่จะเงยหน้ามามองเขาด้วยซ้ำ
“เอ้าๆ จะจูบดินเลยไหมนั่น”
“…..”
ยังคงไร้ซึ่งคำตอบ เมื่อคนโดนเมินเห็นอย่างนั้นจึงพยายามคิดหาสิ่งที่จะเรียกร้องความสนใจจากอีกฝ่าย แล้วเขาก็คิดถึงเรื่องเมื่อวานขึ้นมา
“เมื่อวาน…”
“….”
“นายแอบดูฉันตั้งแต่แรกเลยเหรอ”
“ห๊ะ!? ป…เปล่านะ!”
แล้วก็ได้ผล… เจ้าตัวแทบจะหันมาโวยวายใส่เขาในทันที
“หืม~”
มิยูกิปรายตามองพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นมา พอเห็นดังนั้นซาวามูระจึงรีบหันหน้าหนีกลับไป
“ซาวามูระ…เด็กอนุบาลยังรู้เลยว่านายโกหก”
“ง่ะ!”
คนที่โดนจับไต๋รีบหันมากะจะโวยวายใส่เขาแต่ก็พูดไม่ออกและยิ่งรู้สึกทำตัวไม่ถูกเมื่อพบว่าคนพูดกำลังเท้าคางโน้มตัวลงมาและจ้องมองเขาอยู่ ใบหน้านั้นอยู่ใกล้เกินกว่าปกติ สายตาที่ดูเหมือนได้พบเจอเรื่องสนุกและรอยยิ้มกวนประสาทนี่ เห็นแล้วมันน่าหงุดหงิดยิ่งนัก แต่เขากลับทำอะไรกับมันไม่ได้…
ซาวามูระตัดสินใจกลับไปก้มหน้าเหมือนเดิม มิยูกิจ้องมองซีกหน้าที่โผล่มาเพียงน้อยนิดของอีกคน
มันแดงขึ้นเรื่อย…
ฮ่าๆๆน่ารักชะมัด
“เอาเถอะ…ว่าแต่”
“…อะไร”
“ตอนนั้นคุราโมจิกำลังจะพูดอะไรน่ะ? นายเตรียม…อะไรให้ฉันสินะ”
“!!!”
ซาวามูระเบิกตากว้าง มันเป็นเรื่องที่เขาไม่อยากพูดถึงยิ่งกว่าเรื่องที่เขาแอบอยู่ที่มุมตึก
ไอ้หมอนี่ เรื่องนั้นน่าจะทำเป็นลืมๆไปก็ได้ไม่ใช่เหรอไง!
“อ่า…ต้องเตรียมตัวไปโรงเรียนแล้วสิ ฉันไปดีกว่า!”
ซาวามูระแกล้งทำเป็นเปลี่ยนเรื่องและรีบดันตัวจะลุกขึ้นหวังว่ามิยูกิจะเผลอปล่อยเขา แต่พอกำลังจะดันตัวออก แรงดึงที่คอเสื้อก็หยุดเขาเอาไว้
“อั่ก! ทำบ้าอะไรเนี่ย!”
“ฮ่าๆๆ คิดว่าฉันจะเผลอเหรอ”
มิยูกิดึงคอเสื้อซาวามูระไว้พลางยิ้มหัวเราะออกมาเสียงดังให้กับท่าทีของอีกคน
ก็เหมือนเดิมนิ…
เขายังคงเท้าคางปรายมองอีกฝ่ายที่หันมาแยกเขี้ยวยิงฟันใส่เขา สายตาดูสงบนิ่ง มันมองลึกลงไป…เหมือนพยายามจะค้นหาบางอย่างในตัวคนตรงหน้านี้
“อ…อะไร”
ซาวามูระเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองนั้นถูกจ้องอยู่นานก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา
“เลิกบ่ายเบี่ยงได้แล้วน่ะ ฉันอยากรู้”
น้ำเสียงนั่นดูจริงจังขึ้นกว่าปกติ นัยน์ตาสีน้ำตาลยังคงจ้องมองมายังเขา ใจหนึ่งก็อยากจะหลบหน้าเพราะกลัวจะแสดงสีหน้าแปลกๆออกไป แต่ตอนนี้…มันเหมือนเขาถูกสะกด ไม่สามารถละสายตาไปจากคนตรงหน้าได้
“ฉันจะไม่ให้นายไปไหนทั้งนั้นถ้าไม่พูดออกมา”
คนถูกเค้นเงียบไปชั่วขณะ เสียงทุ้มต่ำที่ดูจริงจังยิ่งทำให้เขายากที่จะขัดขืนต่อ สุดท้ายเขาจึงต้องยอมพูดออกไปอย่างว่าง่าย
“…ร…ร่ม”
“หืม?”
“….”
“ว่าอะไรนะ”
“….ก็ร่มไง! ฉันเอาร่มมาเผื่อนาย! พอใจยัง! ไม่พูดแล้วนะ!”
ในที่สุดเจ้าเด็กปากแข็งก็ปริปากพูดออกมา เจ้าตัวปิดหูปิดตาตะโกนสุดเสียงใส่หน้าเขาก่อนจะรีบก้มหน้าหลบไปเหมือนตอนแรก
“….”
ร่ม? อ่า…อย่างนี้นี่เอง เข้าใจสักที
“ฮ…ฮ่าๆๆๆๆ”
ในที่สุดเขาก็เข้าใจทุกอย่างอย่างแจ่มแจ้งเสียที เขาหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นอย่างไม่อายและไม่กลัวว่าใครจะได้ยินด้วยความขบขันและชื้นใจในเวลาเดียวกัน
ซาวามูระ…นายนี่มัน…แย่ชะมัด
“หยุดขำได้แล้ว! เป็นบ้ารึไง”
ซาวามูระพูดออกมาทั้งๆที่ยังคงซุกหน้าอยู่ที่เดิม คนที่เพิ่งจะขำเสร็จหมาดๆค่อยๆหันมามอง ภาพที่เห็นคือเจ้าหนูที่ยังคงนอนมุดหน้าอยู่ท่าเดิมกับ…ใบหูที่แดงแป๊ด
มิยูกิยิ้มบางๆก่อนจะยื่นมือออกไปยีหัวเจ้าเด็กปากแข็งของเขา
“ทำไมไม่เอามาให้ฉันล่ะ อาย?”
“อายบ้าอะไรล่ะ ก็…ตอนนั้น”
“หือ?”
“…ช่างมันเถอะน่ะ! เลิกถามนู้นถามนี่แล้วปล่อยฉันไปได้แล้ว!”
“ฮ่าๆๆๆ”
คงมัวแต่ชักช้าสินะ…ขี้ขลาดจริงๆเลยนะนาย
ทั้งคู่เงียบไป มิยูกิเหม่ามองพระอาทิตย์ที่เริ่มฉายแสงออกมา ท่าทางและใบหน้าของเขาดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรแต่ในหัวนั้นกลับคิดเรื่องต่างๆนานามากมาย คิด…คิดทบทวน…
สิ่งที่นายทำนี่มันจะยิ่งทำให้ฉันเก็บมันไว้ไม่อยู่
แต่อย่างน้อย…ฉันอยากรู้ อยากมั่นใจ
“ซาวามูระ…”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นราวกับตัดสินใจอะไรได้ มันเป็นการเรียกชื่ออีกคนที่ราบเรียบแต่กลับดูอ่อนโยนกว่าทุกที
“นายเป็นห่วงฉันขนาดนั้นเลยเหรอ”
“….”
ถ้าเป็นซาวามูระในเวลาปกติคงจะตอบว่า ‘ไม่’ แทบจะในทันที แต่บรรยากาศและน้ำเสียงของอีกคน ทำให้หมอกควันในใจเขาจางหายไป มันมีบางอย่างที่ทำให้เขาอยากจะพูดสิ่งที่กักเก็บไว้ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่แท้จริงส่วนหนึ่งของเขาที่ปรากฏขึ้น…ที่เขาให้คำจำกัดความได้
เป็นห่วง…ใส่ใจ…
ซาวามูระพยักหน้าเบาๆ
ดวงตาสีน้ำตาลใต้กรอบแว่นเบิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ เขาไม่คิดว่าจู่ๆเจ้าหนูตรงหน้าเกิดจะซื่อตรงขึ้นมา
อ่า…แย่ล่ะ แบบนี้…
มิยูกิยกมือขึ้นปิดครึ่งหน้าราวกับคิดว่ามันจะช่วยลดความร้อนผ่าวใบหน้านี่จากหัวใจที่เต้นรัวเร็ว แน่นอนว่ามันไม่ใช่ความเหนื่อยจากการวิ่งเมื่อครู่ แต่คาดว่าคงเป็นความรู้สึก…เขินล่ะมั้ง
บางอย่าง…มันเริ่มเอ่อล้นออกมา
เขาทนมองคนตรงหน้าต่อไม่ได้จนต้องบ่ายหน้ามองไปทางอื่นแทน ซาวามูระยังคงนอนนิ่งอยู่ที่เดิม
ฉันควรทำยังไงกับนายดี…
อยากรู้…ให้มากกว่านี้
มันจะไม่เป็นไรใช่ไหม…
“นี่…”
“….”
“นายน่ะ…”
โป๊ก!
“โอ๊ย…”
ยังไม่ทันที่มิยูกิจะได้พูดต่อจนจบบางอย่างก็ลอยมาโดนหัวของเขาอย่างแรง
“จิ๊…เจ็บ! อะไรเนี่ย”
ลูกแอปเปิ้ล? กินแล้วด้วย?
“เซมไป!”
“เออ!”
มิยูกิกุมหัวไว้ด้วยความเจ็บปวดและลุกขึ้นมาเพื่อที่จะมองหาคนร้าย แต่เมื่อได้ยินเสียงห้าวนั่นเขาก็รู้ได้ทันทีว่าคนที่ทำร้ายเขามีเพียงคนเดียว
“คุรา—”
“พวกเอ็งทำอะไรกันอยู่ มัวแอบมาจู๋จี๋กันกลางสนามเนี่ยนะ แล้วดูเนื้อตัว…ปล้ำกันมารึไง!”
“จะบ้าเหรอ!”
คู่สามีภรรยาจำเป็นพูดออกมาพร้อมกัน คุราโมจิเลิกคิ้วสูงพลางยิ้มกรุ่มกริ่ม
“แหมตอบพร้อมกันเชียวนะพวงเอ็ง”
“….”
“เอาเถอะ ว่าแต่…นี่ชาวบ้านเขากินข้าวจนจะเสร็จเตรียมตัวจะไปเรียนกันแล้ว พวกแกจะอยู่ตรงนี้อีกนานไหม”
“เออ! จริงด้วย ตายล่ะ ผมมีเวรเช้าด้วย โดนคาเนะมารุจวกแหง!”
เมื่อซาวามูระเรียกสติได้ เขาก็รีบลุกขึ้นมา จากนั้นก็เตรียมตัววิ่งออกไป แต่ว่า…
“ซาวามูระ”
เสียงหนึ่งหยุดเขาเอาไว้ ทำให้เขาต้องหันกลับไปมอง แต่พอสบกับตาเรียวนั่นมันก็ทำให้เขาต้องรีบหันกลับไปทันที
“อะไร…”
“…..”
ช่างมันเถอะ….คงยังไม่ถึงเวลา
มิยูกิเงียบไปสักพักก็ยิ้มหัวเราะออกมาแทน
“ฮ่าๆๆเปล่าไม่มีอะไร เอาเป็นว่าถ้านายเมินฉันอย่างวันนี้อีกล่ะก็ ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน้”
“ชิ! ได้ใจไปเถอะ ครั้งหน้าฉันไม่หลงกลนายหรอก”
“จะรอดูนะ ฮี่ๆ”
ซาวามูระหันมาเบะปากใส่มิยูกิ แต่เขารู้ว่าตอนนี้คงไม่ใช่เวลามาโวยวายใส่อีกฝ่าย เขาจึงไม่ได้โต้ตอบอะไรและวิ่งออกไปทันที
“เฮ้อ…”
“เป็นอะไรของเอ็ง”
คุราโมจิมองเพื่อนตัวเองด้วยความสงสัย แต่อีกฝ่ายกลับไม่ตอบอะไร เพียงแค่ยื่นมือมาตบที่ไหล่ของเขา
“ฉันควรจะขอบใจนายหรือหงุดหงิดที่นายโผล่มาดีนะ”
“ห๊า…”
“ช่างเถอะ…”
ยิ่งได้ยินคำพูดตัดบทมันก็ยิ่งทำให้คุราโมจิสงสัยมากขึ้นไปอีก มิยูกิพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะออกเดินไป แต่แล้วก็แทบจะสะดุดหน้าขมำเมื่อเพื่อนของเขาพูดบางอย่างออกมา
“อ่าวนี่สรุปยังไม่ได้กันอีกเหรอ”
“ด…ได้บ้าอะไร”
“หึๆๆหรือฉันมาขวางแกกลางคันใช่ไหมล่ะ”
“นายนี่นะ…”
มิยูกิเหงื่อตกพูดอะไรไม่ออก บางทีเพื่อนของเขานี้รู้เยอะเกินไปจริงๆ หรือจะเรียกว่าเข้าใจหลายๆอย่างง่ายไปดี ไม่มันเดาเก่งก็ไม่รู้ ถ้าเป็นไปได้เขาอยากให้หมอนี่ใช้ความสามารถนี้กับเบสบอลมากกว่าจริงๆ
“เฮ้อ ช่างมันเถอะ”
“ฮี่ๆ พวกแกน่ะดูออกง่ายจะตายไป”
“…..”
“แต่ฉันขอเตือนไว้อย่างก็แล้วกันนะมิยูกิ”
“…..”
“แกน่ะควรจะรู้ตัวได้แล้ว เลิกใช้ความคิดของแกอย่างเดียวสักที ถามใจตัวเองน่ะ เป็นไหม?”
“…พูดง่ายนิ”
มิยูกิตอบเสียงเรียบ เขาเริ่มรู้สึกไม่พอใจกับคำแนะนำที่ไม่เป็นรูปธรรมของเพื่อนสนิท
“หึ! ไอ้ขี้ขลาดเอ้ย”
คุราโมจิหัวเราะขึ้นจมูกและพูดเชิงเย้ยหยัน และนั้นก็ถึงกับทำให้มิยูกิหันมาทำหน้านิ่งใส่เขา
“เอาที่สบายใจก็แล้วกัน”
คุราโมจิที่เข้าใจทุกอย่างดีเพียงแค่มองเขาด้วยหางตาก่อนจะถอนหายใจอีกรอบให้กับความงี่เง่าของเพื่อนรักตน จากนั้นก็เอามือล้วงกระเป๋ากางเกงและเดินจากไป
อ่า….ไอ้คนหนึ่งก็ซื่อบื้อ ไม่รู้ตัว อีกคนก็ไม่ยอมรับความรู้สึกตัวเอง มัวแต่รีรอ กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง ยุ่งยากจริงเว้ย
มิยูกิเพียงมองหลังของคุราโมจิด้วยสายตาที่อ่อนลงและพรูลมหายใจออกมาก่อนจะกลับไปสนใจพื้นที่ว่างในสนาม
ฉันรู้หรอกน่ะคุราโมจิ…ว่าฉันมันขี้ขลาด
มันน่ากลัวนะ…เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหาคำตอบตายตัวได้
ไม่สามารถคาดเดาได้…
…เหนื่อยชะมัด
มือหนาเลื่อนไปยีหัวตัวเองจนยุ่งหลังจากหลุดจากความคิดก่อนขาจะก้าวเดินไปตามทางที่คนข้างหน้าเดินจากไป
ว่าแต่…เมื่อกี้ ฉันตั้งใจจะพูดมันออกไปจริงๆเหรอ…
เกือบไปแล้ว อันตรายชะมัด
แต่ว่า…ก็อยากรู้
.
.
…นายน่ะไม่พอใจที่ฉันอยู่กับผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า…
นาย….ฉัน
ใช่ไหมนะ?
.
.
เพราะว่าฉัน…
**To be continue**
———————–
Talk
แล้วก็จบไปอีกตอนกับซีรี่ส์ร่มล่ะ…ช่วงตอนที่2นี้ค่อนข้างเข้มข้นขึ้น คงต้องเดาต่อไปว่าจะเป็นไงต่อ นี่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเอายังไงกับมันเหมือนกัน555 เรื่องนี้ดูไม่มีอะไรแต่แต่งยากคับ ปกติชอบแต่งAUและมักจะหนักมือบรรจงลงทุกอย่างไปเต็มที่ โดยเฉพาะอะไรที่มันเศร้าๆลึกๆเนี่ย แต่เรื่องนี้เหมือนต้องกั๊กไว้และจิ้มแค่พออร่อย…ดูเปรียบเทียบ แล้วก็รู้สึกไม่ฟิตเขียนเท่าไหร่เลยยิ่งรู้สึกไม่พอใจนัก แต่ถ้ามีคนพอจะชอบเรื่องนี้บ้างก็คงเป็นกำลังใจที่ดี
ธีมเรื่องมันก็แค่…นั้นแหละที่คุราโมจิเป็นคนพูดเลยล่ะ ‘ไอ้คนหนึ่งก็ซื่อบื่อ ไม่รู้ตัว อีกคนก็ไม่ยอมรับความรู้สึกตัวเอง มัวแต่รีรอ กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง ‘ ตามนั้น อ่านแล้วอาจจะงงๆบ้าง แต่ก็ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้น จะได้งงไปพร้อมกับตัวละคร555 ตอนต่อไปอาจจะอีกสักพักนะ ช่วงนี้เตรียมตัวไปแลกเปลี่ยนตปท.คับเลยไม่ค่อยสะดวก ถ้ามีไฟอาจจะมีเรื่องสั้นนนมาให้เห็นบ้าง
ขอบคุณที่อ่านคับ เช่นเคย ติขมได้ พบคำผิดช่วยบอกก้จะขอบคุณมากคับ ลาก่อยยย