0

[Fic Daiya no A] Blind in the rain 2.0 : Misawa

*แก้คำและเช็คคำผิด 5/11/18

 

Blind in the rain 2.0 : Misawa

อ๊บ ๆ อ๊บ ๆ…. 

เขาบอกว่ากบน่ะจะมีความสุขที่สุดเมื่อฝนตกสินะ…

.

.

.

หยดน้ำใสยังคงตกลงมาจากท้องฟ้าอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ ผิดกับความอบอ้าวในช่วงบ่าย

เนื้อกายที่อยู่ใต้ร่มผ้านั้นแม้จะอยู่ใต้เสื้อสองชั้นก็ยังรับรู้ได้ถึงความเย็นจากหยดน้ำใสนี่ได้

“ชักเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ แล้วสิ”

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีหม่นและจ้องมองหยดน้ำใสที่กำลังจะตกลงมาจากปลายร่มของเขา

“อ๊บ อ๊บ…”

เขาหลุดออกจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงจากเพื่อนร่วมโลกของเขาที่อยู่ไม่ไกลนัก

“ว่าไง….”

หลังจากกล่าวทักทายเขาก็ค่อย ๆ นั่งลงยอง ๆ จ้องมองเจ้ากบน้อยตรงหน้า เมื่อมองลึกลงไปก็พบว่าตาใส ๆ  ของเจ้ากบนี่มีภาพของตัวเขาสะท้อนอยู่ และมันก็ทำให้เขาเกิดนึกถึงเรื่องเมื่อครู่…

…สิ่งที่สะท้อนในดวงตาคู่นั้น

เด็กหนุ่มเหม่อมองใจลอยจนลืมไปว่าขณะนี้เป็นเวลาที่เขาควรจะเข้าร่มหรือหาที่หลบฝนเสียมากกว่า สภาพอากาศเริ่มแปรปรวนมากขึ้น ฝนตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับอากาศที่เย็นลง แต่ตัวเขากลับไม่รับรู้สิ่งที่เป็นไปนัก

“ อ๊บ!”

เช่นเคยเพื่อนใหม่ของเขาเป็นคนช่วยเตือนสติ

“โอ้! นั้นสินะ ฉันมั่วมานั่งทำอะไรเนี่ย! บ้าบอ ๆ”

เมื่อเขาเรียกสติได้ก็ตบแก้มตัวเองทั้งสองข้างและชูมือตะโกนเสียงดังออกมา

“โอ้ววว—”

แต่แล้วยังไม่ทันที่จะได้ตะโกนสุดเสียง จู่ๆ  เขาก็รู้สึกเสียสมดุลเพราะแรงกระแทกจากด้านหลัง หน้าของเขาแทบจะลงไปจูบกับเจ้ากบเพื่อนรักเลยทีเดียวแต่โชคดีที่เอามือยันพื้นทัน..

“อะไรเนี่ย!”

“ห๊ะ กล้าขึ้นเสียงกับฉันเหรอ เจ้าบากะมูระ”

“อ..เอ๊ะ คุ…คุราโมจิเซมไป!”

เมื่อได้ยินเสียงห้าวนั่นเขาก็แทบจะรู้ทันทีว่าคนด้านหลังคือใครโดยที่ไม่ต้องหันไปดู

“มาทำบ้าอะไรตรงนี้วะ แกล้งกบอยู่รึไง”

“ไม่ใช่นะ! เราเป็นเพื่อนกันต่างหาก!”

“ห๊า…”

คุราโมจิเลิกคิ้วสูง จ้องมองเจ้ากบสลับกับรุ่นน้องของเขาก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ

เอาเถอะ…ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเจ้านี่

“เออ ๆ งั้นก็ร่ำลาเพื่อนแกได้แล้ว ฝนตกขนาดนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งคุยกับมันหรอกนะ”

“อ่า…นั้นสินะ ฮ่า ๆ”

พอคิดว่าจะต้องเดินออกจากตรงนี้ไปสายตาของซาวามูระก็ดูหม่นลง รอยยิ้มเจือน ๆ และเสียงหัวเราะฝืน ๆ นั่นมีเหรอที่คุราโมจิจะไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ

เขาจ้องมองซาวามูระที่ยังคงทำเป็นพูดคุยกับเจ้าเพื่อนร่วมโลกตัวน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาและตัดสินใจเอื้อมมือไปจับเข้าที่ปกเสื้อลากคอรุ่นน้องงี่เง่าของเขาให้ลุกขึ้นให้เดินตามไป

“คุราโมจิเซมไป! ผมเดินเองได้”

“พูดมากน่ะ ฉันขี้เกียจรอ”

“…..”

จากที่เตรียมจะโวยวายต่อตอนแรก ซาวามูระกลับเปลี่ยนท่าทีแทบจะในทันที เขาเงียบไม่โต้ตอบอะไรต่อปล่อยให้รุ่นพี่ของตนลากไปอย่างนั้น

“ได้ให้ร่มหมอนั้นไปหรือเปล่า”

จู่ ๆ คุราโมจิก็พูดขึ้นมาเพื่อเดาสถานการณ์

“อืม…ก็…”

“หรือเจ้าหมอนั้นมันชิ่งกลับก่อน”

“….ก็ไม่เชิงน่ะ”

“หมายความว่าไงวะ”

คุราโมจิหันไปมุนคิ้วใส่รุ่นน้องของเขาที่บัดนี้กลับตัวมาเดินข้างๆเขาได้สักพัก

“เอ…จะว่ายังไงดีล่ะครับ เอาเป็นว่าเขาก็มีร่มใช้น่ะ”

“หืม…”

ตาเรียวจ้องมองคนข้างกายที่พูดคำตอบแปลกๆออกมา ก็มันจะไปมีร่มใช้ได้ยังไง ในเมื่อมันยังมาขอเขาเมื่อตอนพักเที่ยงอยู่เลย และเขาเชื่อว่ายังไงมันก็ไม่น่าไปยืมหรือไปเดินใต้ร่มคันเดียวกับใครได้

ต้องมีอะไรแน่ๆ…

“ก็ดีแล้วล่ะครับ แค่ไม่เปียกฝนเป็นลูกหมาแบบวันนั้นก็ดีแล้ว…”

ซาวามูระยิ้มบางๆออกมาพลางก้มมองพื้นน้ำตื่นๆที่เขากำลังจะเดินข้ามไป

เฮ่ย…

ยิ่งได้ฟังแต่ละอย่างที่อีกฝ่ายพูด มันก็ยิ่งทำให้สงสัยมากขึ้นว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มันต้องมีอะไรแน่ๆ แต่พอรู้ตัวอีกทีพวกเขาก็แทบจะเดินถึงหน้าหอของตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และที่นั่นก็ทำให้คุราโมจิเห็นภาพบางอย่างที่ไม่คุ้นตายิ่งนัก

“ห๊าา–อุ๊บ!”

ยังไม่ทันที่คุราโมจิจะได้อุทานเสียงดัง มือจากด้านหลังก็ยื่นมาปิดปากเขา แล้วแรงแขนนั่นก็ดึงเขาให้เข้าไปในซอกตึกอีกด้านแทน

“ทำบ้าอะไ–”

“ชู่….”

คุราโมจิเกือบจะโวยวายเสียงดังออกมาแต่ก็หยุดลงเมื่อเห็นรุ่นน้องตรงหน้าทำท่าทางบอกเป็นนัยว่าให้เงียบเสียงลง

“อะไรของแกวะ…”

ใช่แล้วภาพที่เขาเห็นตรงหน้ามันไม่คุ้นตาจริงๆ ไม่ใช่แค่สำหรับเขาแต่รับประกันได้เลยว่าสำหรับคนอื่นก็เช่นกัน…

ภาพของมิยูกิเพื่อนของเขากับ…เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง

“ขอบใจมากนะที่มาส่ง”

“ม…ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ!”

“อืม…รีบกลับบ้านเถอะ ก่อนที่ฝนจะตกหนักยิ่งกกว่านี้”

มิยูกิกำลังพูดคุยอยู่กับผู้หญิงคนนั้นด้วยใบหน้าที่ดูอ่อนโยนกว่าปกติ เขายิ้มบางส่งให้เด็กสาว มันทำให้เธอยิ่งเขินอายก้มหลบงอคอจนแทบจะมุดเสื้อได้

ภาพทั้งหมดและเสียงของบทสนทนานั่น สองคนที่ซ่อนอยู่มุมตึกเห็นและได้ยินมันอย่างชัดเจน เมื่อดูเหมือนบทสนทนากำลังจะจบลง ซาวามูระจึงนั่งลงพิงไปกับกำแพงแทน เลิกสนใจภาพนั่นและบทสนทนาที่อาจจะมีต่อ…

“เจ้ามิยูกิ…เดี๋ยวนี้ไปเอาสกิลอ่อยสาวมาจากไหนวะ”

รุ่นพี่ของเขาที่ยังคงแอบดูอยู่พึมพำด้วยท่าทางที่หงุดหงิด

“เฮ้ยซาวามูระ นี่มันเรื่องใหญ่ข่าวเด็ดเลยนะ ต้องเอาไปป่าวประกาศให้ทั่ว!”

คุราโมจิยิ้มเจ้าเล่ห์ทำหน้าพอใจ แต่เมื่อเขาหันไปพบสีหน้าและท่าทางที่ดูหมองลงของคนข้างกาย ไม่ถึง5วินาทีเขาก็ประมวลทุกอย่างได้ …สมแล้วที่เป็นคุราโมจิ

“อ่ออย่างนี้นี่เอง…”

เขาหรี่ตามองซาวามูระที่นั่งกอดเข่าเหม่อมองพื้น

ไอ้เด็กนี่…สงสัยต้องช่วยสักหน่อย

“อ่าว! ซาวามูระ! แกมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้วะ!”

คุราโมจิ(จงใจ)ตะโกนออกมาเสียงดัง ซาวามูระเงยหน้ามองรุ่นพี่ของเขาด้วยท่าทางนิ่งอึ้ง ยังไม่ทันที่เขาจะได้มีโอกาสพูดอะไรเจ้าตัวก็ชิงเดินออกไปก่อนเสียแล้ว

เสียงนั่นแน่นอนว่าคู่สนทนาที่อยู่ไม่ไกลก็ต้องได้ยิน เมื่อเจ้าของเสียงปรากฏกาย  มิยูกิแทบจะกุมขมับในทันที เขาจ้องมองหน้าเพื่อนสนิทที่เห็นก็รู้ว่าไม่ได้มาดีแน่ๆ

ใครเห็นไม่ว่า…เป็นหมอนี่เสียได้ หมดกัน…

ว่าแต่เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ? ซาวามูระ?

เขาสลดได้สักพักก็เลื่อนสายตามองไปทางที่คุราโมจิเดินมา แต่มันกลับไม่มีวีแววของเจ้าของชื่อ

“ฉ…ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ!”

สาวน้อยที่อยู่ไม่ไกลตัวเขาพูดขัดขึ้น เธอเพียงกล่าวแค่นั้นและหันไปทักทายคุราโมจิพอเป็นนพิธีก่อนจะรีบวิ่งออกไป…ดูท่าจะตกใจและอายน่าดู

“วิ้ววว นั่นมันสาวป๊อปหลังห้องนี่นา”

พอเห็นสาวเจ้าไปแล้วคุราโมจิก็เริ่มเปิดฉากใส่เขาทันที

“อ่าวนายรู้จักด้วยเหรอ”

“รู้สิเว้ย ก็เพื่อนห้องเดียวกันนิ แกเพิ่งรู้สินะ ถึงได้พูดอย่างนี้!”

ไอ้นี่นิ…รู้ดีจริงๆ

“แทงใจดำล่ะสิ เคี๊ยกฮ่าๆๆๆ”

มิยูกิทำท่ากรุ่มใจหนักเฉมองไปทางอื่นไม่ตอบอะไรเพราะเถียงไม่ได้

“ว่าแต่…อย่ามาเปลี่ยนเรื่องสิเว้ย! แกอยู่กับเธอได้ยังไง เดี่ยวนี้หัดป้อสาวเหรอวะ”

“ห๊ะ…ป้อ? ยังไง…”

“….”

มิยูกิทำหน้างงเลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัย คุราโมจินิ่งไปชั่วขณะเมื่อรับรู้ว่าเพื่อนของเขานั้นไม่เข้าใจสิ่งที่เขาสื่อ เขาค่อยๆอ้าปากและระเบิดหัวเราะออกมาแทน

“นี่นาย…เคี๊ยกฮ่าๆๆๆ โอ้ยขำว่ะ ไม่ไหวแล้ว ตลกเว้ย นี่ไม่รู้เลยจริงดิ”

สภาพของคุราโมจิตอนนี้ถ้าทำได้คงกลิ้งลงไปขำกับพื้นแล้ว…

“โฮ่ย!”

“ซาวามูระมาดูหน้าเจ้าหมอนี่ดิ!”

ซาวามูระ…

“หมอนั้นอยู่ตรงนั้นเหรอ?”

“เออดิ…ออกมาได้แล้วน่ะ”

คุราโมจิหันไปเรียกรุ่นน้องของเขาแต่กลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆ มิยูกิจ้องมองตามมุมที่คุราโมจิมองไปเพื่อรอคนที่คิดว่ากำลังจะปรากฏออกมา

“เฮ้ย ถ้าไม่ออกมาฉันจะบอกหมอนี่นะว่าเมื่อวานแกนะเตรีย—”

“ว้ากกก!!!”

เสียงตะโกนแสบแก้วหูดังขึ้นก่อนที่คุราโมจิจะพูดจบ เด็กหนุ่มรีบวิ่งออกมาจากมุมที่ซ่อนอยู่ทันที

ทั้งคู่ตกใจพอสมควร เป็นคุราโมจิที่ก้มลงกุมท้องตัวเองเหมือนพยายามกลั้นขำก่อนในขณะที่มิยูกิยังคงจดจ้องไปที่คนที่เพิ่งปรากฏออกมาด้วยความงุนงง

ดวงตาสีอำพันคู่เดิมจ้องมาทางเขาเขม็งแต่สักพักมันก็หลุบลงหลบมองไปทางอื่น สีหน้าที่ดูจะตื่นตระหนกในตอนแรกกลับกลายเป็นสีหน้าปั้นยาก เจ้าตัวดูสับสนและทำอะไรไม่ถูก

นี่มันอะไรเนี่ย…

พอซาวามูระสงบสติได้ก็ก้าวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าทั้งสอง

“ฉ…ฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้น! ไปล่ะ!”

จากนั้นเจ้าตัวก็เดินดุ่มๆออกไปแต่ไม่ลืมที่จะหันมาพูดย้ำกับคุราโมจิอีกครั้ง

“ห้ามพูดอะไรนะ!”

แล้วเขาก็วิ่งออกไปโดยไม่หันมาสนใจทั้งคู่อีกเลย

“อะไรของเจ้าเด็กนั้น…”

มิยูกิพึมพำพลางมองตามหลังคนที่วิ่งออกไป จากนั้นเขาจึงหันมามองเพื่อนของเขาเพื่อหาคำตอบ

“หึๆๆ นี่แกยังไม่เข้าใจอะไรอีกเหรอ”

“ห๊ะ?”

“อ่า…เอาเถอะ ฉันพอใจล่ะ ไม่ยุ่งแล้วดีกว่า”

หลังจากทิ้งความกำกวมไว้ด้ยประโยคคำถามที่รู้ดีว่าจะไม่ได้คำตอบกลับ คุราโมจิยืดตัวขึ้นและเตรียมพร้อมจะเดินออกไปบ้าง

“โฮ่ยอย่าเพิ่งไปสิ! นายหมายความว่ายังไง ฉันไม่เข้าใจอะไร แล้วไอ้ที่นายกำลังจะพูดตอนนั้นคืออะไร”

มิยุกิหยุดเขาไว้ เจ้าตัวทำสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น ท่าทางสงสัยใคร่รู้และคิดว่าตนเองจะหาคำตอบไม่ได้จริงๆ ซึ่งคุราโมจิก็มองออก แต่สุดท้ายก็ได้แต่เลิกคิ้วมองอย่างระเหี่ยใจ

ไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆแฮะ

“เฮ้อ…บอกให้โง่ดิ”

“ห๊า…”

คุราโมจินิ่งไปสักพักและตอบเขาด้วยน้ำเสียงกึ่งยียวน ทำเอามิยูกิตอบโต้ไม่ถูกจนเผลอปล่อยมือไป คุราโมจิจึงเดินออกไปโดยไม่ได้สนใจเขาอีก

ดวงตาสีน้ำตาลใต้กรอบแว่นจ้องมองออกไป เหม่อมองไปตามทางที่คนทั้งสองเดินจากไปเมื่อครู่ ภาพตรงหน้าเหลือเพียงม่านฝนปรอยๆและและอาคารหอที่อยู่ไม่ไกล คิ้วหนาได้รูปเริ่มมุ่นเข้าหากัน จากนั้นเสียงถอนหายใจยาวก็ดังขึ้น

“เฮ้อออ…ให้มันได้อย่างนี้สิ”

ใช่…ฉันไม่เข้าใจ

“น่าหงุดหงิดนัก เจ้าคุราโมจิต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ แล้วไอ้ท่าทางของไอ้หนูนั่นมันหมายความว่ายังไง”

คิดสิมิยูกิ คาซึยะ เริ่มจาก…

“โฮ่ยมิยูกิมามัวทำอะไรตรงนี้เนี่ย ไม่ไปเตรียมตัวซ้อมเหรอ”

“…..?”

ก่อนจะได้เริ่มไตร่ตรอวอะไรจู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงจากด้านหลัง ทำให้ต้องหยุดความคิดทุกอย่างลง เมื่อหันไปก็พบว่าเป็นโซโนะเพื่อนของเขานี่เอง

“อ้าวโซโนะ…ถึงเวลาแล้วเหรอ”

“เออน่ะสิ รีบไปเร็ว”

จากนั้นโซโนะก็เข้ามาดันหลังเขาให้เดินไปด้วยกัน

เอาเถอะ…ค่อยว่ากันก็แล้วกัน

มันคงไม่ได้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว…

.

.

.

ติกต๊อก ติกต๊อก…กริ้งงง!

ปุ!

“งืม…”

มือหนาเอื้อมไปปิดเสียงนาฬิกาอันน่ารำคาญก่อนจะหดกลับมาอยู่ใต้ผ้าหมเหมือนเดิม กลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนที่โผล่พ้นออกมาจากผ้าห่มนั้นไหวไปมา เจ้าของเตียงยังคงพลิกไปพลิกมาเพื่อพยายามหาท่านอนที่คิดว่าจะทำให้หลับต่อได้สบายมากขึ้น

“เฮ้อ…”

เขาถอนหายใจและสุดท้ายก็ลืมตาตื่นขึ้นมาจ้องมองผนังห้องอันว่างเปล่าข้างหน้าด้วยใบหน้าที่อิจโรย

สุดท้ายก็นอนไม่ค่อยหลับ…

ถ้าจำไม่ผิดเพิ่งจะขมตาหลับได้เมื่อตอนตี3 แต่เนื่องจากเขาเป็นคนตื่นง่ายอยู่แล้วและไม่ว่าจะนอนกี่โมงก็จะตื่นเวลาเดิม มันจึงทำให้เขารู้สึกอ่อนเพลียกว่าปกติ

มัวแต่คิดเรื่องบ้าอะไรไม่รู้…

มิยูกิลุกขึ้นและออกเดินไปจัดการทำภารกิจชีวิตประจำวันของเขา วันนี้เขาไม่ได้นั่งทบทวนบทเรียนหรือจำลองแผนการการแข่งเหมือนทุกวันจึงเหลือเวลามากกว่าปกติ เขาเลยตั้งใจจะออกไปสูดอากาศข้างนอกเผื่อจะช่วยให้รู้สึกสดใสขึ้น

“บรื้อ~ เย็นชะมัด เมื่อวานฝนตกถึงช่วงมืดๆเลยนี่นะ”

เขาเช็ดแว่นที่ขึ้นฝ้าเพราะอากาศชื่น ก้าวเดินออกไปตามตัวหอจนมาหยุดอยู่ที่สนามซ้อม ช่วงเวลานี้ยังเช้ามากอยู่ เพื่อนๆของเขาส่วนใหญ่จึงยังไม่ตื่นกัน จะมีก็แต่เขาและอีกคน…

ว่าแล้วว่าต้องอยู่…

สายตาใต้กรอบแว่นจ้องมองออกไปยังพื้นสนามเบื้องหน้าที่มีเด็กหนุ่มหน้าตาคุ้นเคยกำลังวิ่งอยู่

เจ้าหนูนี่มักจะตื่นก่อนใครเพื่อนและออกมาวิ่งทุกๆเช้าในเวลาเดิมๆ

ฟิตชะมัด….

“หาว~”

บางครั้งเวลาเขาว่างก็จะชอบออกมาเดินเล่นอย่างนี้และมักจะเจอเจ้าหมอนี่ทุกครั้งจนมันเป็นความเคยชิน

มันก็ไม่น่าเบื่อดีนะ การที่ตื่นมาเจอหมอนี่คนแรกน่ะ

ไม่รู้ทำไมพอเห็นหน้าหรือได้พูดคุยกันเจ้าหนูนี่มักจะทำให้ความรู้สึกงวงเงียอ่อนเพลียนี่หายไปหมดทุกครั้ง

เขาเดินลงมานั่งที่ม้านั่งใต้ร่มมุมหนึ่งของสนาม จ้องมองคนที่ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตายกับล้อคู่ใจอันเดิม

ซาวามูระใกล้จะวิ่งครบรอบมาตรงที่เขานั่งอยู่ เขาจึงรอดูปฏิกิริยาเดิมที่กำลังจะมาถึง แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น…

“…..”

อ่าว…

ไม่มีคำทักทายใดๆ ซาวามูระเพียงเหล่มาแวบหนึ่งแล้วรีบเฉมองไปทางอื่น จากนั้นก็เร่งสปีดวิ่งออกไป

“โฮ่ย…”

มิยูกิแปลกใจถึงกับขนาดลุกขึ้นมาจ้องมองอีกฝ่ายที่ดูเหมือนพยายามจะวิ่งหนีเขา

เจ้าหนูนี่…

เขายืนกอดอกอยู่อย่างนั้นและยังคงจ้องซาวามูระไม่วางตา ซาวามูระยังคงวิ่งไปทำเป็นไม่สนใจและพยายามไม่มอง

แต่ยังไงก็ต้องวิ่งผ่านจุดนี้อีกรอบอยู่ดี… จะหนีไปทางอื่นก็ดูจะโจ่งแจ้งไป

พอเด็กหนุ่มใกล้จะวิ่งถึงจุดที่รถ่นพี่ของเขายืนอยู่ เขาก็เห็นว่าดวงตาสีน้ำตาลที่ยังคงจ้องมองมาทางเขา เขารู้สึกกดดันจนแสดงออกมทางสีหน้าอย่างไม่รู้ตัว

สัญชาตญาณของฉันมันบอกว่าฉันไม่ควรวิ่งผ่านตรงนั้น…

เมื่อซาวามูระคิดได้ดังนั้นาเขาจึงหยุดวิ่งลง

“เห้อ~ เหนื่อยแล้วสิ วันนี้พอดีกว่า”

เขายืนยืดตัวห่างจากจุดที่อีกฝ่ายยืนอยู่ประมาณสามสี่เมตร แกล้งมองไปทางอื่นเพราะรู้ว่าถ้าเห็นหน้าอีกฝ่ายตอนนี้คงทำอะไรไม่ถูกเป็นแน่

พอได้จังหวะเขาจึงรีบหมุนตัวหันเดินไปอีกทาง ตั้งใจว่าจะรีบกลับเข้าหอทันที แต่หลังจากก้าวไปได้เพียงแค่สองก้าว เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกคนที่ใกล้เข้ามา

เขารีบล่นถอยออกมาจากจุดนั้น ตั้งท่าป้องกันเต็มที่

“ม…มีอะไร มิยูกิ”

“คิดจะหนีไปไหนซาวามูระ”

“น…หนีอะไรกัน ก็แค่เหนื่อยแล้ว เลยจะกลับห้อง…”

“โกหก…”

“เปล่านะ!”

“งั้นก็มาทางนี้สิ”

มิยูกิกวักมือเรียกรุ่นน้องของเขาด้วยใบหน้าที่เดาอารมณ์ไม่ถูก

“…..”

ซาวามูระหรี่ตามองมือที่ยังคงกวักเรียก

เอาไงดี…

ตัวเขานั้นค่อนข้างสับสน ไม่มั่นใจเช่นกันว่าทำไมทำตัวเช่นนี้ รู้แค่ว่ารู้สึกทำตัวไม่ถูกและอึดอัดเมื่อต้องพบหมอนี่ ยิ่งให้เข้าไปคุยหรือมองหน้ายิ่งรู้สึกกระอักกระอวนอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ซึ่งปกติก็ไม่ได้เป็นขนาดนี้…

งั้นทางเดียวที่ฉันจะทำได้ตอนนี้คือ….

“ไปหาก็โง่สิ ฉันไม่ใช่หมานะ! แบร่~”

ซาวามูระตะโกนออกมาดังลั่นก่อนแลบลิ้นใส่รุ่นพี่ของเขา จากนั้นจึงรีบกลับตัวใส่เกียร์วิ่งออกไป เพื่อ…หนี

“โฮ่ย…ไอ้…เด็กบ้า! กวนนักนะ!”

คนอายุมากกว่ารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันก่อนจะออกตัววิ่งตามไป

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ซาวามูระ!”

“ไม่!”

วิ่งเร็วชะมัด สรุปจะเอาดีด้านนี้ใช่ไหมเนี่ย!

“รอก่อน เป็นบ้าอะไรของนายเนี่ย!”

“อย่ามายุ่งกับฉัน!”

“จิ๊”

ไม่ชอบใจเลย

ทั้งสองวิ่งไล่กันอยู่อย่างนั้นรอบสนาม…หลายรอบ จนกระทั่ง…

ปุ!

“หือ? อ้าวมิยูกิ!”

จู่ๆมิยูกิก็ล้มลงไปนอนกับพื้น ซาวามูระที่ตกใจจึงรีบวิ่งกลับมาหาแต่ก็ไม่ลืมเว้นระยะห่างเพราะกลัวว่าจะโดนอีกคนหลอกเอา

“นาย…ฮ่าๆๆ จะแกล้งหลอกให้ฉันหยุดวิ่งล่ะสินะ”

ร่างหนายังคงนอนแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น คนที่นั่งยองๆอยู่ไม่ไกลรู้สึกถึงความผิดปกติจึงค่อยๆกระเถิบเข้าไปหา เพ่งพินิจตรวจสอบดูก็พบว่าอีกฝ่ายนั้นมีใบหน้าซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด

“เฮ่ยมิยูกิอย่าเพิ่งตายนะ! เป็นลมเหรอ เอาจริงดิ!”

ซาวามูระเข้าไปเขย่าตัวมิยูกิเพราะเริ่มรู้สึกใจไม่ดี แต่แล้วจู่ๆมือหนาก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเขา

“เอ๋…”

“หึๆ”

มิยูกิค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาพร้อมยิ้มกว้าง

“หลอกง่ายจังนะ~”

“หนอย!”

คนที่โดนหลอกหน้าแดงด้วยความโกรธและเจ็บใจ เขาพยายามสะบัดขอมือออกพร้อมกับยันตัวลุกขึ้นเพื่อที่จะออกตัวหนี แต่แล้ว..

“คิดว่าจะไปไหนได้เหรอ”

“เหวอ!”

แรงดึงจากมือนั่นที่ไม่ยอมปล่อยข้อมือเขาบวกกับมืออีกข้างที่จับข้อเท้าของเขาไว้ทำให้เขาล้มลงเพราะตั้งหลักไม่ได้ และในที่สุดซาวามูระก็ถูกมิยูกิจับจนอยู่หมัด

“โอ๊ย…เล่นบ้าอะไรเนี่ย”

“ก็บอกให้หยุดแล้วไม่หยุดเอง”

คนที่ล้มหน้าขมำลงไปร้องโอดครวญในขณะที่อีกฝ่ายค่อยๆลุกขึ้นมาและเดินมาทางเขาพร้อมกับ…นั่งทับลงบนหลังของเขา

“เจ้าบ้า! มันหนักนะ!”

“โวยวายไปได้ แค่นี้ไม่ตายหรอก”

“ฮึ่ย!”

“เอ้าไหนว่ามาสิ ทำไมต้องหนีฉันด้วย”

“…”

คนที่โวยวายและดิ้นพร่านอยู่เมื่อครู่เงียบลง เจ้าตัวไม่โต้ตอบอะไร

มิยูกิจ้องมองกลุ่มผมสีน้ำตาลตรงหน้าแต่ซาวามูระไม่แม้แต่จะเงยหน้ามามองเขาด้วยซ้ำ

“เอ้าๆ จะจูบดินเลยไหมนั่น”

“…..”

ยังคงไร้ซึ่งคำตอบ เมื่อคนโดนเมินเห็นอย่างนั้นจึงพยายามคิดหาสิ่งที่จะเรียกร้องความสนใจจากอีกฝ่าย แล้วเขาก็คิดถึงเรื่องเมื่อวานขึ้นมา

“เมื่อวาน…”

“….”

“นายแอบดูฉันตั้งแต่แรกเลยเหรอ”

“ห๊ะ!? ป…เปล่านะ!”

แล้วก็ได้ผล… เจ้าตัวแทบจะหันมาโวยวายใส่เขาในทันที

“หืม~”

มิยูกิปรายตามองพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นมา พอเห็นดังนั้นซาวามูระจึงรีบหันหน้าหนีกลับไป

“ซาวามูระ…เด็กอนุบาลยังรู้เลยว่านายโกหก”

“ง่ะ!”

คนที่โดนจับไต๋รีบหันมากะจะโวยวายใส่เขาแต่ก็พูดไม่ออกและยิ่งรู้สึกทำตัวไม่ถูกเมื่อพบว่าคนพูดกำลังเท้าคางโน้มตัวลงมาและจ้องมองเขาอยู่ ใบหน้านั้นอยู่ใกล้เกินกว่าปกติ สายตาที่ดูเหมือนได้พบเจอเรื่องสนุกและรอยยิ้มกวนประสาทนี่ เห็นแล้วมันน่าหงุดหงิดยิ่งนัก แต่เขากลับทำอะไรกับมันไม่ได้…

ซาวามูระตัดสินใจกลับไปก้มหน้าเหมือนเดิม มิยูกิจ้องมองซีกหน้าที่โผล่มาเพียงน้อยนิดของอีกคน

มันแดงขึ้นเรื่อย…

ฮ่าๆๆน่ารักชะมัด

“เอาเถอะ…ว่าแต่”

“…อะไร”

“ตอนนั้นคุราโมจิกำลังจะพูดอะไรน่ะ? นายเตรียม…อะไรให้ฉันสินะ”

“!!!”

ซาวามูระเบิกตากว้าง มันเป็นเรื่องที่เขาไม่อยากพูดถึงยิ่งกว่าเรื่องที่เขาแอบอยู่ที่มุมตึก

ไอ้หมอนี่ เรื่องนั้นน่าจะทำเป็นลืมๆไปก็ได้ไม่ใช่เหรอไง!

“อ่า…ต้องเตรียมตัวไปโรงเรียนแล้วสิ ฉันไปดีกว่า!”

ซาวามูระแกล้งทำเป็นเปลี่ยนเรื่องและรีบดันตัวจะลุกขึ้นหวังว่ามิยูกิจะเผลอปล่อยเขา แต่พอกำลังจะดันตัวออก แรงดึงที่คอเสื้อก็หยุดเขาเอาไว้

“อั่ก! ทำบ้าอะไรเนี่ย!”

“ฮ่าๆๆ คิดว่าฉันจะเผลอเหรอ”

มิยูกิดึงคอเสื้อซาวามูระไว้พลางยิ้มหัวเราะออกมาเสียงดังให้กับท่าทีของอีกคน

ก็เหมือนเดิมนิ…

เขายังคงเท้าคางปรายมองอีกฝ่ายที่หันมาแยกเขี้ยวยิงฟันใส่เขา สายตาดูสงบนิ่ง มันมองลึกลงไป…เหมือนพยายามจะค้นหาบางอย่างในตัวคนตรงหน้านี้

“อ…อะไร”

ซาวามูระเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองนั้นถูกจ้องอยู่นานก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา

“เลิกบ่ายเบี่ยงได้แล้วน่ะ ฉันอยากรู้”

น้ำเสียงนั่นดูจริงจังขึ้นกว่าปกติ นัยน์ตาสีน้ำตาลยังคงจ้องมองมายังเขา ใจหนึ่งก็อยากจะหลบหน้าเพราะกลัวจะแสดงสีหน้าแปลกๆออกไป แต่ตอนนี้…มันเหมือนเขาถูกสะกด ไม่สามารถละสายตาไปจากคนตรงหน้าได้

“ฉันจะไม่ให้นายไปไหนทั้งนั้นถ้าไม่พูดออกมา”

คนถูกเค้นเงียบไปชั่วขณะ เสียงทุ้มต่ำที่ดูจริงจังยิ่งทำให้เขายากที่จะขัดขืนต่อ สุดท้ายเขาจึงต้องยอมพูดออกไปอย่างว่าง่าย

“…ร…ร่ม”

“หืม?”

“….”

“ว่าอะไรนะ”

“….ก็ร่มไง! ฉันเอาร่มมาเผื่อนาย! พอใจยัง! ไม่พูดแล้วนะ!”

ในที่สุดเจ้าเด็กปากแข็งก็ปริปากพูดออกมา เจ้าตัวปิดหูปิดตาตะโกนสุดเสียงใส่หน้าเขาก่อนจะรีบก้มหน้าหลบไปเหมือนตอนแรก

“….”

ร่ม? อ่า…อย่างนี้นี่เอง เข้าใจสักที

“ฮ…ฮ่าๆๆๆๆ”

ในที่สุดเขาก็เข้าใจทุกอย่างอย่างแจ่มแจ้งเสียที เขาหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นอย่างไม่อายและไม่กลัวว่าใครจะได้ยินด้วยความขบขันและชื้นใจในเวลาเดียวกัน

ซาวามูระ…นายนี่มัน…แย่ชะมัด

“หยุดขำได้แล้ว! เป็นบ้ารึไง”

ซาวามูระพูดออกมาทั้งๆที่ยังคงซุกหน้าอยู่ที่เดิม คนที่เพิ่งจะขำเสร็จหมาดๆค่อยๆหันมามอง ภาพที่เห็นคือเจ้าหนูที่ยังคงนอนมุดหน้าอยู่ท่าเดิมกับ…ใบหูที่แดงแป๊ด

มิยูกิยิ้มบางๆก่อนจะยื่นมือออกไปยีหัวเจ้าเด็กปากแข็งของเขา

“ทำไมไม่เอามาให้ฉันล่ะ อาย?”

“อายบ้าอะไรล่ะ ก็…ตอนนั้น”

“หือ?”

“…ช่างมันเถอะน่ะ! เลิกถามนู้นถามนี่แล้วปล่อยฉันไปได้แล้ว!”

“ฮ่าๆๆๆ”

คงมัวแต่ชักช้าสินะ…ขี้ขลาดจริงๆเลยนะนาย

ทั้งคู่เงียบไป มิยูกิเหม่ามองพระอาทิตย์ที่เริ่มฉายแสงออกมา ท่าทางและใบหน้าของเขาดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรแต่ในหัวนั้นกลับคิดเรื่องต่างๆนานามากมาย คิด…คิดทบทวน…

สิ่งที่นายทำนี่มันจะยิ่งทำให้ฉันเก็บมันไว้ไม่อยู่

แต่อย่างน้อย…ฉันอยากรู้ อยากมั่นใจ

“ซาวามูระ…”

เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นราวกับตัดสินใจอะไรได้ มันเป็นการเรียกชื่ออีกคนที่ราบเรียบแต่กลับดูอ่อนโยนกว่าทุกที

“นายเป็นห่วงฉันขนาดนั้นเลยเหรอ”

“….”

ถ้าเป็นซาวามูระในเวลาปกติคงจะตอบว่า ‘ไม่’ แทบจะในทันที แต่บรรยากาศและน้ำเสียงของอีกคน ทำให้หมอกควันในใจเขาจางหายไป มันมีบางอย่างที่ทำให้เขาอยากจะพูดสิ่งที่กักเก็บไว้ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่แท้จริงส่วนหนึ่งของเขาที่ปรากฏขึ้น…ที่เขาให้คำจำกัดความได้

เป็นห่วง…ใส่ใจ…

ซาวามูระพยักหน้าเบาๆ

ดวงตาสีน้ำตาลใต้กรอบแว่นเบิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ เขาไม่คิดว่าจู่ๆเจ้าหนูตรงหน้าเกิดจะซื่อตรงขึ้นมา

อ่า…แย่ล่ะ แบบนี้…

มิยูกิยกมือขึ้นปิดครึ่งหน้าราวกับคิดว่ามันจะช่วยลดความร้อนผ่าวใบหน้านี่จากหัวใจที่เต้นรัวเร็ว แน่นอนว่ามันไม่ใช่ความเหนื่อยจากการวิ่งเมื่อครู่ แต่คาดว่าคงเป็นความรู้สึก…เขินล่ะมั้ง

บางอย่าง…มันเริ่มเอ่อล้นออกมา


เขาทนมองคนตรงหน้าต่อไม่ได้จนต้องบ่ายหน้ามองไปทางอื่นแทน ซาวามูระยังคงนอนนิ่งอยู่ที่เดิม

ฉันควรทำยังไงกับนายดี…

อยากรู้…ให้มากกว่านี้

มันจะไม่เป็นไรใช่ไหม…

“นี่…”

“….”

“นายน่ะ…”

โป๊ก!

“โอ๊ย…”

ยังไม่ทันที่มิยูกิจะได้พูดต่อจนจบบางอย่างก็ลอยมาโดนหัวของเขาอย่างแรง

“จิ๊…เจ็บ! อะไรเนี่ย”

ลูกแอปเปิ้ล? กินแล้วด้วย?

“เซมไป!”

“เออ!”

มิยูกิกุมหัวไว้ด้วยความเจ็บปวดและลุกขึ้นมาเพื่อที่จะมองหาคนร้าย แต่เมื่อได้ยินเสียงห้าวนั่นเขาก็รู้ได้ทันทีว่าคนที่ทำร้ายเขามีเพียงคนเดียว

“คุรา—”

“พวกเอ็งทำอะไรกันอยู่ มัวแอบมาจู๋จี๋กันกลางสนามเนี่ยนะ แล้วดูเนื้อตัว…ปล้ำกันมารึไง!”

“จะบ้าเหรอ!”

คู่สามีภรรยาจำเป็นพูดออกมาพร้อมกัน คุราโมจิเลิกคิ้วสูงพลางยิ้มกรุ่มกริ่ม

“แหมตอบพร้อมกันเชียวนะพวงเอ็ง”

“….”

“เอาเถอะ ว่าแต่…นี่ชาวบ้านเขากินข้าวจนจะเสร็จเตรียมตัวจะไปเรียนกันแล้ว พวกแกจะอยู่ตรงนี้อีกนานไหม”

“เออ! จริงด้วย ตายล่ะ ผมมีเวรเช้าด้วย โดนคาเนะมารุจวกแหง!”

เมื่อซาวามูระเรียกสติได้ เขาก็รีบลุกขึ้นมา จากนั้นก็เตรียมตัววิ่งออกไป แต่ว่า…

“ซาวามูระ”

เสียงหนึ่งหยุดเขาเอาไว้ ทำให้เขาต้องหันกลับไปมอง แต่พอสบกับตาเรียวนั่นมันก็ทำให้เขาต้องรีบหันกลับไปทันที

“อะไร…”

“…..”

ช่างมันเถอะ….คงยังไม่ถึงเวลา

มิยูกิเงียบไปสักพักก็ยิ้มหัวเราะออกมาแทน

“ฮ่าๆๆเปล่าไม่มีอะไร เอาเป็นว่าถ้านายเมินฉันอย่างวันนี้อีกล่ะก็ ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน้”

“ชิ! ได้ใจไปเถอะ ครั้งหน้าฉันไม่หลงกลนายหรอก”

“จะรอดูนะ ฮี่ๆ”

ซาวามูระหันมาเบะปากใส่มิยูกิ แต่เขารู้ว่าตอนนี้คงไม่ใช่เวลามาโวยวายใส่อีกฝ่าย เขาจึงไม่ได้โต้ตอบอะไรและวิ่งออกไปทันที

“เฮ้อ…”

“เป็นอะไรของเอ็ง”

คุราโมจิมองเพื่อนตัวเองด้วยความสงสัย แต่อีกฝ่ายกลับไม่ตอบอะไร เพียงแค่ยื่นมือมาตบที่ไหล่ของเขา

“ฉันควรจะขอบใจนายหรือหงุดหงิดที่นายโผล่มาดีนะ”

“ห๊า…”

“ช่างเถอะ…”

ยิ่งได้ยินคำพูดตัดบทมันก็ยิ่งทำให้คุราโมจิสงสัยมากขึ้นไปอีก มิยูกิพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะออกเดินไป แต่แล้วก็แทบจะสะดุดหน้าขมำเมื่อเพื่อนของเขาพูดบางอย่างออกมา

“อ่าวนี่สรุปยังไม่ได้กันอีกเหรอ”

“ด…ได้บ้าอะไร”

“หึๆๆหรือฉันมาขวางแกกลางคันใช่ไหมล่ะ”

“นายนี่นะ…”

มิยูกิเหงื่อตกพูดอะไรไม่ออก บางทีเพื่อนของเขานี้รู้เยอะเกินไปจริงๆ หรือจะเรียกว่าเข้าใจหลายๆอย่างง่ายไปดี ไม่มันเดาเก่งก็ไม่รู้ ถ้าเป็นไปได้เขาอยากให้หมอนี่ใช้ความสามารถนี้กับเบสบอลมากกว่าจริงๆ

“เฮ้อ ช่างมันเถอะ”

“ฮี่ๆ พวกแกน่ะดูออกง่ายจะตายไป”

“…..”

“แต่ฉันขอเตือนไว้อย่างก็แล้วกันนะมิยูกิ”

“…..”

“แกน่ะควรจะรู้ตัวได้แล้ว เลิกใช้ความคิดของแกอย่างเดียวสักที ถามใจตัวเองน่ะ เป็นไหม?”

“…พูดง่ายนิ”

มิยูกิตอบเสียงเรียบ เขาเริ่มรู้สึกไม่พอใจกับคำแนะนำที่ไม่เป็นรูปธรรมของเพื่อนสนิท

“หึ! ไอ้ขี้ขลาดเอ้ย”

คุราโมจิหัวเราะขึ้นจมูกและพูดเชิงเย้ยหยัน และนั้นก็ถึงกับทำให้มิยูกิหันมาทำหน้านิ่งใส่เขา

“เอาที่สบายใจก็แล้วกัน”

คุราโมจิที่เข้าใจทุกอย่างดีเพียงแค่มองเขาด้วยหางตาก่อนจะถอนหายใจอีกรอบให้กับความงี่เง่าของเพื่อนรักตน จากนั้นก็เอามือล้วงกระเป๋ากางเกงและเดินจากไป

อ่า….ไอ้คนหนึ่งก็ซื่อบื้อ ไม่รู้ตัว อีกคนก็ไม่ยอมรับความรู้สึกตัวเอง มัวแต่รีรอ กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง ยุ่งยากจริงเว้ย

มิยูกิเพียงมองหลังของคุราโมจิด้วยสายตาที่อ่อนลงและพรูลมหายใจออกมาก่อนจะกลับไปสนใจพื้นที่ว่างในสนาม

ฉันรู้หรอกน่ะคุราโมจิ…ว่าฉันมันขี้ขลาด

มันน่ากลัวนะ…เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหาคำตอบตายตัวได้

ไม่สามารถคาดเดาได้…

…เหนื่อยชะมัด

มือหนาเลื่อนไปยีหัวตัวเองจนยุ่งหลังจากหลุดจากความคิดก่อนขาจะก้าวเดินไปตามทางที่คนข้างหน้าเดินจากไป

ว่าแต่…เมื่อกี้ ฉันตั้งใจจะพูดมันออกไปจริงๆเหรอ…

เกือบไปแล้ว อันตรายชะมัด

แต่ว่า…ก็อยากรู้

.

.

…นายน่ะไม่พอใจที่ฉันอยู่กับผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า…

นาย….ฉัน

ใช่ไหมนะ?

.

.

เพราะว่าฉัน…

**To be continue**

———————–

Talk

แล้วก็จบไปอีกตอนกับซีรี่ส์ร่มล่ะ…ช่วงตอนที่2นี้ค่อนข้างเข้มข้นขึ้น คงต้องเดาต่อไปว่าจะเป็นไงต่อ นี่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเอายังไงกับมันเหมือนกัน555 เรื่องนี้ดูไม่มีอะไรแต่แต่งยากคับ ปกติชอบแต่งAUและมักจะหนักมือบรรจงลงทุกอย่างไปเต็มที่ โดยเฉพาะอะไรที่มันเศร้าๆลึกๆเนี่ย แต่เรื่องนี้เหมือนต้องกั๊กไว้และจิ้มแค่พออร่อย…ดูเปรียบเทียบ แล้วก็รู้สึกไม่ฟิตเขียนเท่าไหร่เลยยิ่งรู้สึกไม่พอใจนัก แต่ถ้ามีคนพอจะชอบเรื่องนี้บ้างก็คงเป็นกำลังใจที่ดี

ธีมเรื่องมันก็แค่…นั้นแหละที่คุราโมจิเป็นคนพูดเลยล่ะ ‘ไอ้คนหนึ่งก็ซื่อบื่อ ไม่รู้ตัว อีกคนก็ไม่ยอมรับความรู้สึกตัวเอง มัวแต่รีรอ กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง ‘ ตามนั้น อ่านแล้วอาจจะงงๆบ้าง แต่ก็ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้น จะได้งงไปพร้อมกับตัวละคร555 ตอนต่อไปอาจจะอีกสักพักนะ ช่วงนี้เตรียมตัวไปแลกเปลี่ยนตปท.คับเลยไม่ค่อยสะดวก ถ้ามีไฟอาจจะมีเรื่องสั้นนนมาให้เห็นบ้าง

ขอบคุณที่อ่านคับ เช่นเคย ติขมได้ พบคำผิดช่วยบอกก้จะขอบคุณมากคับ ลาก่อยยย

1

[Fic Daiya no A] Blind in the rain 1.0 : Misawa

*ตรวจคำผิดและแก้คำ 8/5/18

Blind in the rain 1.0 : Misawa

มันเป็นช่วงหนึ่งในฤดูฝน…

นายยังจำวันนั้นได้ไหมซาวามูระ
.
.
.

แปะ แปะ แปะ…

หยดน้ำใสร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า หยดแล้วหยดเล่า จากหนึ่ง สอง สาม…และนับไม่ถ้วน

“ต้องเปียกอีกแล้วเหรอเนี่ย”

สายตาใต้กรอบแว่นสอดส่องสภาพรอบด้านก่อนจะพยายามมองหาบางอย่าง

“นั้นสินะ…เย็นขนาดนี้คงไม่มีใครอยู่แล้ว”

ช่วงเย็นนี้นักเรียนในโรงเรียนส่วนใหญ่ต่างทยอยกันกลับบ้านหมดแล้ว ยิ่งเป็นวันที่ฝนตกเช่นนี้ในช่วงเวลานี้การจะเห็นคนหลงเหลืออยู่ในอาคารเรียนนั้นยิ่งเป็นไปได้ยาก

“เปียกก็เปียก”

คนที่น่าจะเป็นคนเกือบสุดท้ายในอาคารพูดขึ้นเมื่อตั้งปณิธานได้

จะทำไงได้ล่ะ ร่มตัวเองก็เพิ่งหาย แถวนี้ก็ไม่ใคร จะให้รอต่อไปก็คงจะไปไม่ทันประชุมกันพอดี

เมื่อคิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็วิ่งออกไปจากตัวอาคาร เขาใช้เสื้อสูทของตัวเองเป็นร่มกันฝน ถึงแม้จะไม่เต็มใจนัก แต่ถ้าให้เปียกฝนเต็มๆคงไม่ดีแน่

เขาวิ่งและวิ่งด้วยความระมัดระวังมากที่สุดจนมาถึงหอพักในเวลาไม่นานนัก

“เฮ้อ…ต้องอยู่ทำเวรในวันที่ฝนตกแบบนี้นี่แย่จริงๆ เจ้าคุราโมจิก็ทิ้งกันได้”

คนที่เพิ่งเข้าร่มได้ไม่นานบ่นพลางเดินไปตามทางเพื่อไปยังห้องของตัวเอง ก่อนจะหยุดลงเมื่อพบรุ่นน้องหน้าตาคุ้นเคย ถึงแม้ทัศนวิสัยจะไม่ชัดเจนนักเพราะแว่นที่เลอะละอองน้ำ แต่เขาก็พอจะเดาได้ว่าเป็นใคร

“อ่าว ซาวา– ฮ…ฮัดชิ้ว!”

“เหวอ! อะไรเนี่ยตกใจหมด…อี๋น้ำมูก!”

“…ฮ…โฮ่ย พูดงี้มันน่า…ฮัด…ชิ…อึก”

เขาพยายามหยุดอาการจามของตัวเองก่อนจะสูดน้ำมูกที่ไหลออกมานิดหน่อยเข้าไป

“โห…จะรอดไหมเนี่ย ไปทำอีท่าไหนถึงได้กลายเป็นหมาตกน้ำอย่างนี้”

“ปากน้อ…”

เมื่อคนโตกว่าได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมานิดหน่อย แต่แทนที่จะแสดงสีหน้าหงุดหงิดเขากลับเผยรอยยิ้มที่มุมปากออกมา

“หึๆ มานี่เลยได้เด็กบ้า!”

เขากระโจนเข้าหาซาวามูระด้วยเนื้อตัวที่เปียกปอนและเอาแขนล็อคเจ้าตัวเอาไว้

“เฮ่ยมิยูกิ ทำบ้าอะไรเนี่ย มันเปียกนะ! ปล่อย!”

“ก็มันน่าไหมล่ะ ฮ่าๆๆ”

มิยูกิหัวเราะชอบใจ พอเห็นอีกคนยิ่งขัดขืนเขาก็ยิ่งอยากแกล้งมากขึ้น
เขาสะบัดแขนเสื้อและผมสีน้ำตาลของเขาที่เปียกน้ำฝนพอควรใส่หน้าของซาวามูระ

“บ้าเอ้ย เปียกหมดแล้วเนี่ย ฉันเพิ่งเปลี่ยนชุดมาเองนะ!”

“ฮ่าๆๆมาแบ่งความเปียกจากฉันไปซะ”

“โว้ย!”

ทั้งสองสู้ฟัดกันอยู่สักพักสุดท้ายซาวามูระผละออกมาได้ เขารู้สึกหงุดหงุดหงิดมากจนแยกเขี้ยวยิงฟันใส่มิยูกิเป็นการขู่ว่า ‘ถ้าเข้ามา ฉันจะกัดนายแน่’
แต่แล้วความหงุดหงิดก็ค่อยๆหายไปเมื่อเขาเพิ่งสังเกตว่าตามเนื้อตัวมิยูกินั้นเปียกมากกว่าที่คิด
พอไล่ดูขึ้นไปจนเห็นหน้าอีกฝ่าย ก็เห็นได้ชัดว่ามันซีดจนน่าเป็นห่วงผิดกับรอยยิ้มสบายๆบนใบหน้านั่น

“นี่นาย…”

“…?”

“รีบไปอาบน้ำไป สภาพดูไม่ได้เลย อย่างกับผี…”

“ห๊ะ”

มิยูกิเลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัย แต่ก่อนจะได้พูดอะไรก็มีบางอย่างยื่นมาตรงหน้าเขา

“เอานี่ไป”

“หืม?”

มันคือผ้าขนหนูที่ซาวามูระมักจะใช้ตอนซ้อมลมนั่นเอง

“ให้ฉันทำไม”

“ก็…”

ซาวามูระอ้ำๆอึ้งๆ เมื่อผู้รับเห็นใบหน้ากระอักกระอวนของอีกฝ่ายเขาก็แทบจะรู้คำตอบในทันทีแต่ก็อดจะกวนไม่ได้

“เห…เป็นห่วงฉันเหรอเนี่ย”

“ห๊ะ…ม…ไม่ใช่สักหน่อย! ก…ก็แค่”

“ก็-แค่?”

“โว้ย! ก็เอาไปเช็ดสิ!”

ซาวามูระโวยวายเสียงดังออกมา แก้มใสเริ่มขึ้นสีจางเล็กน้อย

ฮ่าๆๆ เป็นคนดูออกง่ายจริงๆแฮะ

“หืม~ ขอบใจนะ แต่ว่า…”

“….?”

“นายซักมันล่าสุดเมื่อไหร่น่ะ?”

มิยูกิถามออกไปพลางยิ้มกรุ่มกริ่ม

“…เอ่อ”

เขาโน้มหน้าลงและทำเป็นดมกลิ่นผ้านั่น ก่อนจะผละออกมาแทบจะในทันที

“โหย เหม็นอับมาก!”

“ห๊ะ!? ม…มันเหม็นขนาดนั้นเลยเหรอ ฉ…ฉันก็ไม่ได้ใช้ทำอะไรขนาดนั้นสักหน่อย”

เมื่อซาวามูระเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่ายดังนั้นเขาก็เริ่มร้อนรนและลองยกมันขึ้นมาดมบ้าง

“ก็ไม่ได้อับขนาดนั้นสักหน่อย…”

“โธ่ เจ้าของดมกลิ่นตัวเองใครจะบอกว่าเหม็นล่ะ”

“ว่าไงนะ!”

“ไม่เอาด้วยล่ะ ไอ้กลิ่นน่ะอาจจะไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเกิดฉันติดเชื้อบ้านายล่ะก็ไม่ดีแน่”

“ห๊าาา”

“ฮ่าๆๆ ไปดีกว่า”

เมื่อรู้สึกพอใจกับการได้ก่อกวนอีกคนอย่างเต็มอิ่มเป็นที่เรียบร้อย เขาจึงออกเดินไปพร้อมกับปิดหูของตนเองเอาไว้เพื่อป้องกันมันจากเสียงโวยวายของอีกฝ่ายที่ไล่หลังมา

“มิยูกิ! เจ้าบ้า! ไม่น่านึกเป็นห่วงเลย! ฉันจะไม่สนใจนายอีกแล้ว ค่อยดู!”

“หึๆ”

มิยูกิหัวเราะเบาๆก่อนจะคลี่รอยยิ้มบางๆออกมา

เป็นห่วง…สนใจ?

“กว่าจะพูดออกมา…”

เสียงทุ้มเอ่ยออกมาลอยๆ จากนั้นเขาก็เดินขึ้นบันไดไปไม่สนใจเจ้าเด็กขี้โวยวายนั่นอีก
.
.
.
.

นายน่ะ ไม่รู้ตัวเลยสินะ…

ตัวฉันเอง…ก็ยังไม่มั่นใจเช่นกัน

.
.
.
.

“นี่คุราโมจิ”

“หือ?”

“เมื่อวานน่ะ…ทิ้งกันได้นะ”

“ห๊ะ…”

สองหนุ่มประจำห้อง3-Bพูดคุยกันเป็นปกติในมุมๆหนึ่งของห้อง…ที่ประจำของพวกเขาที่มีเพียงเขาแค่สองคน มิยูกิที่เพิ่งสรุปเรื่องการประชุมเกี่ยวกับเกมซ้อมแข่งให้คุราโมจิเพื่อนของเขาที่ไม่ได้มาร่วมวงด้วยเมื่อวานฟังพูดขึ้นมาหลังจากที่นั่งดูแผนการในสมุดของเขาไปสักพัก น้ำเสียงดูจะไม่พอใจบางอย่างเล็กน้อย

“…เคี๊ยกฮ่าๆๆ นึกว่าเรื่องอะไร”

“โฮ่ย! อย่ามาทำเป็นขำน่ะ รู้ไหมว่าเมื่อวานฉันต้องเจออะไรบ้าง”

“เอาน่ะๆ ตอนนั้นก็บอกก่อนออกจากห้องแล้วนิว่ามีธุระต้องไปทำ ไม่ได้ตั้งใจหนีไปก่อนสักหน่อย”

“…..”

มิยูกิเหล่มองเพื่อนข้างกายเขาก่อนจะหันกลับไปสนใจสมุดโน๊ตต่อ

“เออว่าแต่เมื่อวานเอ็งไปทำอะไรเจ้าซาวามูระวะ ฉันกลับมาเห็นมันบ่นโวยวายไม่หยุดว่าเอ็งไปแกล้งมัน”

เมื่อวาน…

พอเขาคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อวานเย็นก็นึกขำจนผลุดรอยยิ้มออกมา มิยูกิยังคงไม่ได้ตอบคุราโมจิ เขาเพียงหันไปมองนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าสีเทาหม่น…เหมือนเมื่อวาน แต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นเจ้าของชื่อที่กำลังถูกพูดถึง

“แค่นึกถึงก็โผล่มาเลยแฮะ”

เขาพึมพำออกมา คุราโมจิไม่ได้ยินจึงเพียงแค่มองเพื่อนของเขาอย่างงงๆที่จู่ๆเจ้าตัวก็ลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่าง

“โฮ่ย~ จะหมดเวลาพักอยู่แล้วยังไม่ไปเข้าห้องเรียนอีกเหรอ…เห~หรือว่าจะโดดเรียนกันน้า”

“อ๊ะ! มิยูกิ คาซึยะ!”

“ฮ่าๆๆ นายนินะ เลิกเรียกฉันซะเต็มยศแบบนั้นสักทีเถอะ”

“หึ!”

ซาวามูระที่อยู่ข้างล่างจ้องมาทางมิยูกิเพียงครู่เดียวก่อนจะบุยปากหันหน้าไปทางอื่น

ฮ่าๆๆ ท่าทางนั่นมันอะไรกัน

“นี่…ฝนกำลังจะมาแล้วนะ รีบกลับไปเข้าห้องเรียนไป”

คนที่อยู่บนตึกชั้นบนพูดออกมา และเช่นเคย…เขาได้รับการตอบกลับแบบเดิมๆอย่างที่คาดเดา

“ไม่ต้องบอกก็รู้แล้วน่ะ!”

“ฮ่าๆๆ”

มิยูกิหัวเราะเสียงดัง เมื่อซาวามูระเห็นดังนั้นก็หันมาทำหน้ายู่ใส่ก่อนจะออกวิ่งไปในทันที

“เจ้าบ้า”

คนที่ถูกทิ้งไว้พูดลอยๆออกมา เขายังคงจับจ้องพื้นที่เดิมที่เจ้าบ้าคนนั้นเคยยืนอยู่ แต่พอรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมาที่เข้าเขม็งจนทำให้รู้สึกเสียวสันหลังวาบ…

“ม…มีอะไร คุราโมจิ”

“หืมมม นายนี่…”

“อะไร…”

“ดูช่วงนี้จะสนใจเจ้านั่นเป็นพิเศษเลยนะ”

“เห๊ะ…”

เขาที่แปลกใจกับคำพูดของอีกฝ่ายที่กล่าวออกมาไม่ให้ทันตั้งตัวถึงกับเบิกตากว้าง เขานิ่งไปสักพักก่อนจะลูบคางตัวเองเหมือนกำลังใช้ความคิด

นั่นสินะ

“นี่ทำไปไม่รู้ตัวเลยสินะ”

“อืม…ก็เห็นแล้วมันอดไม่ได้”

“หืม?”

“ฮ่าๆๆ เอาน่ะ ก็ปกตินิ”

“เหรอ…”

คุราโมจิไม่ได้ถามอะไรต่อแต่เขายังคงจ้องมองเพื่อนตรงหน้าเหมือนพยายามมองทะลุเข้าไปข้างในความคิดของมิยูกิ มิยูกิเห็นดังนั้นก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก ได้แต่ยิ้มเจือนเฉมองไปทางอื่นก่อนจะพยายามพูดเปลี่ยนเรื่องเมื่อนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้

“เออคุราโมจินายได้เอาร่มฉันไปหรือเปล่า”

“ห๊ะฉันจะเอาร่มแกไปทำไรวะ”

“อ่าว…เหรอ”

แล้วมันหายไปไหนล่ะเนี่ย

“คุราโมจิถ้าวันนี้ฝนตกฉันขอกลับด้วยคนสิ ร่มมันหายน่ะ”

คาดว่าวันนี้หลังเลิกเรียนฝนคงตกอีกเป็นแน่ เขาเลยหันมาหาความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิทแทน คุราโมจิจ้องหน้าเขานิ่งก่อนจะมองขึ้นเพดานเหมือนกำลังชั่งใจหรือคิดอะไรบางอย่างอยู่ สักพักเจ้าตัวก็เอาสองมือทุบโต๊ะของคนตรงหน้าดังลั่นและสิ่งที่ได้รับกลับไปคือ…

“ไม่เอา!”

“เอ้าอะไรกัน”

“นึกภาพแล้วขนลุก ผู้ชายตัวเบ้งเดินใต้ร่มเดียวกันท่ามกลางสายฝน แหวะ…”

“โหย…”

“เอ้าๆเข้าที่ได้แล้ว หมดเวลาพักแล้ว”

ก่อนที่มิยูกิจะได้พูดอะไรต่ออาจารย์ประจำวิชาถัดไปก็เข้ามาในห้องเสียแล้ว ทำให้การสนทนานั้นต้องหยุดลง

ชิ…ไร้น้ำใจชะมัด ฉันก็ไม่ได้อยากจะเดินใต้ร่มเดียวกันกับนายหรอก

.
.
.
.

ซ่า….

นั้นไง..ตกจริงๆด้วยแฮะ

“เฮ้อ~ เอาไงล่ะทีนี้”

จะให้ตากฝนไปแบบเมื่อวานคงไม่ดีแน่ เมื่อวานก็เกือบจะไม่สบายแล้ว เดี๋ยวได้ไม่มีแรงซ้อมกันพอดี เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงเริ่มหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาความช่วยเหลือ

“คือว่า…”

….30นาทีผ่านไป…

.

.

“ฉันนี่มัน…ไม่มีเพื่อนเลยสินะ”

มิยูกิยืนพิงประตูหน้าโรงเรียนด้วยความห่อเหี่ยวใจ ในหัวก็นึกถึงคำพูดที่คุราโมจิและคนอื่นๆชอบพูดกับเขาบ่อยๆ
ก็แหงล่ะจะให้มีเพื่อนที่ไหนล่ะ ขนาดคนในห้องเขายังจำได้ไม่หมดเลย
ดวงตาสีน้ำตาลทอดมองออกไปทางม่านสายฝน นักเรียนแต่ละคนเดินออกจากตึกไปคนแล้วคนเล่าด้วยร่มคู่ใจของพวกเขา บางคันก็มีหนึ่งคน บางคันก็มีสองหรือสามคน ชายหญิงปะปนกันไป มันก็เป็นเพียงแค่ภาพปกติในช่วงที่ฝนตกที่นานๆทีเขาจะได้ใส่ใจมัน
เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจของผู้คนรอบกายเริ่มเงียบสงบลง พอรู้สึกตัวก็พบว่าบัดนี้แทบจะเหลือเขาคนเดียวในพื้นที่นี้ไปเรียบร้อยแล้ว

“เอาเถอะ…”

เขาพูดกับตัวเองก่อนจะเริ่มก้าวเดินออกไป แต่แล้วก็ต้องหยุดลงเมื่อมีเสียงหนึ่งเรียกชื่อของเขาขึ้นมา

“มิ…มิยูกิ…คุง”

“…?”

เมื่อเขาหันไปทางต้นเสียงก็พบกับผู้หญิงท่าทางน่ารักคนหนึ่งที่น่าจะอยู่รุ่นเดียวกัน

“เธอ…”

“เอ่อ ร…เราอยู่ห้องเดียวกันน่ะ”

“อ่อ…”

เธอคนนี้…

“มีอะไรเหรอ”

เขาตัดสินใจถามออกไปด้วยท่าทางที่คิดว่าเป็นมิตรมากที่สุด

“คือว่า…”

“….”

“ถ…ถ้าไม่รังเกียจ ให้ฉันไปส่งที่หอไหม ฉันมีร่มอยู่น่ะ…ขนาดพอสำหรับ2คน…”

“….”

หืม…

มิยูกิจ้องมองคนตรงหน้าของเขา เธอแทบจะมุดหน้าลงไปในทันทีเมื่อรู้ตัวว่าถูกจ้อง แก้มขาวๆขึ้นสีแดงระเรื่อ มันแดงแทบจะไปถึงใบหูของเธอ เห็นแล้วก็ทำให้นึกถึงใครบางคน…

อ่า…เอาเถอะ

“เอาสิ ขอบคุณนะ”

” เอ๊ะ…จ้ะ!”

เมื่อได้ยินคำตกลงจากอีกฝ่าย หญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมยิ้มดีใจอย่างออกหน้าออกตา

คล้ายกันจริงๆแฮะ

ตาโตๆนี่ แก้มๆใสๆที่มักจะขึ้นสีจาง ผม…สีน้ำตาล รอยยิ้ม…

แต่…

“…มิยูกิคุง ไปกันเลยไหมจ๊ะ”

“อ…อือ ฝากด้วยนะ”

จากนั้นทั้งคู่ก็เดินออกไปด้วยร่มคันเดียวกัน…โดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่ามีสายตาของใครบางคนทอดมองไปทางทั้งคู่จากด้านหลัง

“อุส่าห์เอามาเผื่อแท้ๆ…”

เขาพูดกับตัวเองพลางมองร่มพับในมือนิ่งและตัดสินใจเก็บมันไป กางร่มอีกคันข้างตัว ก้าวเดินออกไปพบกับสายฝนที่ยังคงตกลงมา…คนเดียว
.
.
.

สุดท้ายก็แค่เอามาให้หนักกระเป๋าสินะ…มัวแต่ชักช้ารีรอ

งี่เง่าจริงๆ…ตัวฉัน

***To be continue***

—————————————–
Talk

สวัสดี– ไม่ได้เจอกันนานTvT เรากลับมาพร้อมผลงานใหม่ ไม่ได้หายไปไหน ยังแต่งเหมือนเดิม ช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างยุ่งมาก ทั้งงาน สอบ กิจกรรม ทำให้หมดแรง ไม่มีเวลาเท่าไหร่ เศร้ามาก…
อ่านเรื่องนี้แล้วอาจจะแปลกใจว่าแต่งแนวนี้ได้ด้วยเหรอ ใสๆคอมดี้โชโจวมากกก บอกเลยว่าแต่งได้แต่ไม่ลื่นไหลเท่าแนวดราม่าตับแตก พอแต่งแนวนี้แล้วเหมือนต้องกักตัวเองไว้ แบบ..’ต้องเบาๆนะ ห้ามหนักๆ’ เหนื่อยมาก555 แถมแต่งในเวลาที่ห่างกันจึงทำให้ไม่ค่อยลื่นไหลเข้าไปอีก…
เนื้อเรื่องออกมาเป็นเรื่องดูเรื่อยๆไปเลย ไม่รู้จะถูกใจไหม แต่ก็พยายามเต็มที่ล่ะนะ ตอนแรกแค่จะแต่งตอนเดียวจบ แต่นี่ปาไป3ตอนแล้ว…เอามาลงตอนเดียวก่อนT3T เป้าหมายหลักที่แต่งเพราะได้มีโอกาสร่วมเล่นDaiya Weeklyในทวีตล่ะ! ซึ่งอันนี้เป็นหัวข้อ ‘ร่ม’ ที่มีมา(โคตร)นานแล้ว…
ช่วงนี้จะค่อยๆกลับมาแต่งเรื่อยๆล่ะ แต่งทั้งหัวข้อDaiya Weeklyและเคลียร์เรื่องเก่าด้วย ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวเช่นเคยน้า ติชมได้งับ! ขอบคุณ!

0

[Short Fic Daiya no A] Safe zone : FuruJun

Safe zone : FuruJun

 

บ่อยครั้งเวลาที่ผมอยู่บนเนิน ผมมักจะรู้สึกกลัว

แม้จะมีผู้คนมากมายรายล้อม…

ทั้งผู้ชม กองเชีร์ย คู่แข่ง และเพื่อนร่วมทีม

แต่ว่า…


มันไม่ง่ายนักที่ผมจะสามารถปล่อยวางและรู้สึกอุ่นใจกับพื้นที่ที่อยู่ด้านหลังได้

เคร้ง!

จิ๊…

ลูกบอลกลมๆสีขาวนั้นกระทบกับไม้เหล็กที่ถูกแบ็ตเตอร์เบอร์4ออกแรงเหวี่ยงมันอย่างตั้งใจ

มันลอยออกไปด้วยความเร็วและแรง ไกลออกไป สูงขึ้นไป ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

พอมองลูกนั้น…
แม้จะพยายามนิ่งเฉย บอกกับตัวเองว่าไม่เป็นอะไร ต้องไม่เป็นอะไร …

แต่…ใจที่เต้นแรงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ความอัดแน่นที่อยู่ในอกนี่และมือที่เริ่มสั่น
ถึงจะพยายามมองข้ามมัน แต่เขาก็รู้ตัวดี
ว่านี่…

น่าจะเป็น ‘ค ว า ม ก ลั ว’

ลอยไป…ลอยไป…ลอยไป

ผมพยายามบังคับไม่ให้ตัวเองหันหลังไปมอง จับหมวกแก๊ปคู่ใจให้เยื่อนลงหวังจะให้มันบดบังใบหน้าและช่วยให้ทัศนวิสัยแคบลงบ้าง เพื่อจะได้ไม่เห็นเหตุการณ์ในอนาคต
รอเวลาที่จะได้ยินเสียงของลูกบอลที่จะกระทบกับพื้นหรือกำแพงบางแห่งที่ไกลออกไป

ไม่ก็คง…ออกไปนอกสนาม

ตุบๆๆๆ

แต่แล้วจู่ๆเสียงฝีเท้าหนึ่งก็ดังก้องขึ้นในโสตประสาท

ทำไมมันถึงเป็นเสียงเดียวที่เขาได้ยินกันนะ

วิ่ง? ใครกัน

ผมค่อยๆหันไปตามทิศทางของเสียง มันมาจากด้านหลัง…
จำได้ว่าตอนที่หันไปมองก่อนขว้างลูกนั้น พื้นที่ตรงนั้นไม่มีใครอยู่
แต่ตอนนี้มันกลับมีผู้ชายคนนั้นอยู่…

“ย้ากกก!”

เขาแผดเสียงดังออกมาพลางวิ่งอย่าไม่คิดชีวิต จ้องเขม็งไปยังทิศทางของบอลที่น่าจะตกลง

มันกำลังจะข้ามกำแพงไป

แต่…

“ฮึบ! อย่าดูถูกกันนะเว้ย!”

ฟึบ!

เขาวิ่งเข้าหากำแพงและใช้มันเป็นที่ยันตัวเพื่อเพิ่มแรงกระโดด …เพื่อหวังจะรับลูกที่ลอยสูงอยู่บนอากาศนั้น

มิทท์สีเหลืองที่คุ้นตานั้นค่อยๆลอยเด่นสูงขึ้นเรื่อยๆโดยมีมือของคนๆนั้นที่พยายามเอื้อมไปอย่างสุดตัว…

ผมจ้องมองภาพนั้นไม่กระพริบตา

ไม่ได้จะหวังอะไรแล้วแท้ๆ

.

.

.

พื้นที่ตรงเอ้าท์ฟิลด์นั้นผมเคยไปอยู่ตรงนั้น

ผมเข้าใจความรู้สึกของคนที่ต้องค่อยปกป้องพื้นที่ตรงนั้นระดับหนึ่ง ถึงจะยังไม่ค่อยเข้าใจว่ามันสนุกยังไงก็ตาม…

แต่ว่า…สิ่งหนึ่งที่ผมเข้าใจคือ

เมื่อคุณรับลูกที่ลอยไปไกลนั่นได้…

 

ปุ!

.

.

.

 

มันทำให้รู้สึกปลอดภัย

“ฟุรุยะ!!!”

เสียงคำรามนั้น…

เซมไป…รู้อะไรไหมครับ

การที่คุณอยู่ข้างหลังผมน่ะ

คุณช่วยมอบความกล้าให้แก่ผม ช่วยทำให้ผมกล้าหันไปมองภาพด้านหลัง

เพื่อจะได้เห็นคุณ…

และค้นพบว่า…มีคุณที่จะคอยช่วยปกป้องพื้นที่อันแสนน่ากลัวนั่น

 

ฝ่ามืออันหยาบกร้านของคุณที่อยู่ไกลออกไปนั้นมันเหมือนคอยดันแผ่นหลังของผมเบาๆอยู่ตลอดเวลา

และเสียงของคุณที่ไม่ว่าจะอยู่ไหนก็ส่งเข้ามาถึงการรับรู้ของผม มันทำให้ผมรู้ว่าคุณจะไม่ไปไหน…

“ขอบคุณ…”

“ห๊าาา พูดอะไรนะ ฉันไม่ได้ยินเลย”

“…..”

หึๆ

.

.

.

ถ้าเกิดว่า…เป็นไปได้

ผมก็อยากให้คุณมาอยู่ใกล้ๆผมมากกว่านี้จริงๆ…

***END***

 

—————————

สวัสดี..

วันนี้มาคู่แรร์นิดนึง แต่ผมแอบชอบนะ นึกอะไรได้เลยแต่งเล่นๆไว้ตอนเรียนอยู่ไม่งั้นหลับแน่น (เด็กๆไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง) แล้วก็เอามาแต่งต่อเพื่อวอมมือ

เรื่องอาจจะไม่มีอะไรมาก แค่อยากลองแต่งฉากสั้นๆฉากหนึ่ง หลายๆคนอาจจะไม่ค่อยสังเกตุคู่นี้ด้วยซ้ำ แต่เราชิปครั้งแรกก็ตอนที่พี่ฟุรุยะเล่นแย่แต่ไม่มีใครพูดอะไร สุดท้ายมารู้ว่าทุกคนไว้ใจฟุรุยะต่างหาก และพี่จุนคือคนที่เก็บกดที่สุด555 ดูท่าจะอยากพูดอะไรสักอย่างกับฟุรุยะมากพอตัวและดูเจ้าตัวจะเป็นห่วงที่สุด…แหม

เอาเป็นว่าอย่างน้อยถ้าเข้ามาอ่านก็ถือซะว่าเอามาขั้นความดราม่าของBy my sideก็ยังดีล่ะนะ!

จะพยายามต่อไป…

ปล.ดอกไม้ต้นไม้ที่แปะในฟิคแต่ละอันมีความหมายตามธีมเรื่องนั้นๆนะ มันเป็นความหมายที่ซ้อนอยู่ที่อยากให้รับรู้อ้อมๆ มันดูน่าสนุกและลึกซึ้งดี555 วันหลังจะบอกความหมายไว้ท้ายเรื่องนะ แต่ครั้งนี้แอบขี้เกียจ และเพราะเป็นเรื่องสั้นมากๆด้วยเลยปล่อยไป…

 

 

5

[AU Daiya no A] By my side 2.0 : MiSawa

By my side 2.0 : MiSawa

 

‘…เซมไป’

‘…..’

‘มิ….’

‘…..’

 

เสียงใครกัน คุณกำลังเรียกใคร…ฉันเหรอ?

ปากของฉัน ขยับ…แต่ทำไมถึงไม่มีเสียงออกมา ออกมาสิ…ออกมา

 

‘มิ…กิ’

‘ซะ….’

 

เอ๋ ฉันพูดว่าอะไรกัน ชื่อ? ชื่อของใคร

.

.

.

‘มิยูกิ’

.

.

.

 

เฮือก!

“…..”

ร่างที่นอนอย่างสงบอยู่เมื่อครู่ลืมตาตื่นขึ้นมา อากาศรอบด้านไม่ได้ร้อนนักแต่เหงื่อกลับไหลซึมไปทั่วกาย

มือหนายกขึ้นก่ายหน้าผากพลางเสยผมที่ปรกหน้าขึ้นก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแว่นข้างกายขึ้นมาใส่เพื่อช่วยให้ทัศนียภาพชัดขึ้น

ฝันงั้นเหรอ…ปวดหัวชะมัด

ตาคมสอดส่ายสิ่งรอบกายที่ล้วนแต่เป็นสีสว่างตา ห้องที่ยังคงไร้ซึ่งผู้คน เฟอร์นิเจอร์เรียบๆ ผ้าม่านที่พริ้วสไวไปตามลมที่พัดเข้ามาจากหน้าต่างที่ถูกแง้มไว้ แสงอ่อนๆยามเช้าที่เล็ดลอดเข้ามาผ่านต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างนอก

พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นแจกันบนโต๊ะขนาดเล็กที่อยู่ห่างจากเตียงไม่มากนัก ดอกลินลี่สีเหลืองสดถูกจัดแต่งอย่างเรียบง่าย มันไม่ได้มีอะไรที่ดูพิเศษ หากแต่ว่ามันทำให้รู้สึกสงบใจและ…สงสัยในเวลาเดียวกัน

วันนี้ก็มาสินะ

ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม…เว้นแต่เจ้าดอกไม้นั่น

ฉันพยายามมองหาคำตอบบางอย่าง

เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนมาเปลี่ยนเจ้าดอกไม้นั่นทุกวัน ตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาตื่นขึ้นมาคาดว่าน่าจะผ่านไปหลายวันแล้ว ในห้องนี้ไม่มีปฏิทิน…แต่ดอกไม้ที่อยู่ในแจกันนี่ทำให้เขารู้ว่าวันใหม่ได้มาถึงแล้ว

ติ๊ด!

‘สวัสดียามเช้าครับ วันนี้เรามาเริ่มด้วยข่าวการเกิดอุบัติเหตุในย่าน….’

โทรทัศน์ที่อยู่ปลายเตียงถูกเปิดขึ้น เขานั่งจ้องมองภาพผ่านกรอบแว่น หูก็ฟังเสียงผู้ประกาศข่าวอย่างไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดนัก

อุบัติเหตุ…

.

.

.

‘คุณได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุถูกรถชนระหว่างพยายามข้ามถนนครับ’

ดูจากสภาพฉันก็พอรับรู้ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกรำคาญใจมากที่สุดคง…

‘ร่างกายของคุณไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่สมองของคุณได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก หมอจึงต้องขอให้คุณพักฟื้นอยู่ในโรงพยายาบาลเพื่อดูอาการต่อไปครับ’

นอกจากสิ่งที่คุณหมอพูดมา สิ่งอื่นที่ฉันรู้เกี่ยวกับตัวฉันคือ…

ฉันชื่อ มิยูกิ คาซึยะ เป็นนักศึกษาปี3เล่นเบสบอลและเป็นแคทเชอร์ที่มีชื่อพอตัว มีพ่อ มีเพื่อน

แค่นั้น…

ใช่แล้ว…ฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้นและบางอย่าง…มันขาดหายไป

ความทรงจำของฉัน…

.

.

.

“น่าเบื่อชะมัด”

แอ๊ด….

ประตูค่อยๆเปิดออก ใบหน้าของคนที่เขาพอจะจำได้ค่อยๆโผล่มาทีละคน พวกเขาคือคนที่มาเยี่ยมเขาในวันแรกๆ

“ย๊ะฮ่า! ก็ดูดีขึ้นนี่หว่า!”

“เป็นยังไงบ้างมิยูกิ!”

สายตาที่เพิ่งละจากหน้าจอทีวีค่อยๆมองไปยังผู้มาเยือนนิ่งๆ

“สวัสดี คุ…คุราซากิ โซ…โนะ?”

“แกกก นี่แกแกล้งกวนประสาทกันใช่ไหมวะ! โมจิเฟร้ย! คุราโมจิ!”

ชายหนุ่มทรงผมตั้งท่าทางเอาเรื่องโวยวายขึ้นด้วยความไม่พอใจที่ชื่อตัวเองถูกเรียกผิดๆ

“เอาน่ะๆ ใจเย็นก่อนคุราโมจิ”

คนที่น่าจะชื่อโซโนะพยายามทำให้เพื่อนข้างกายของเขาใจเย็นลง

“ชิ! เห็นแก่ที่แกป่วยอยู่หรอกนะ”

“ฮ่าๆ โทษที”

มิยูกิได้แต่ยิ้มเจื่อน โล่งใจที่ไม่โดนใส่อารมณ์ด้วยท่ามวยปล้ำจากเพื่อนสนิทของเขาเหมือนในวันแรกๆที่เขายังจำใครไม่ค่อยได้

คุราโมจิและโซโนะมักจะมาเยี่ยมเขาบ่อยที่สุดผลัดกับรุ่นพี่และรุ่นน้องของเขาบ้าง คุณพ่อก็เช่นกัน แต่เนื่องจากฉันยังพอจำเรื่องของท่านได้ดีจึงรู้ว่าท่านไม่มีเวลาให้ฉันมากนัก ซึ่งฉันเข้าใจดี…

ทั้งคู่ค่อยๆเดินเข้ามาพร้อมกระเช้าผลไม้ใบไม่ใหญ่นักก่อนจะส่งสมุดเล่มหนึ่งให้เขา

ถ้าจำไม่ผิดนี่น่าจะเป็นเล่มที่3แล้ว…

“ขยันกันจังน้า”

มิยูกิยิ้มพูดก่อนจะรับเอาสมุดมา

เมื่อเปิดสมุดออก กระดาษสีสบายตามักจะถูกขีดเขียนเต็มไปด้วยภาพวาดและข้อความต่างๆ บางทีก็มีรูปแนบมาบ้าง

รูปทุกๆคนและเขา…

เขานั่งเปิดสมุดอย่างตั้งใจ ดวงตาจ้องมองทั้งภาพและข้อความ หูก็ฟังเรื่องราวต่างๆที่คุราโมจิและโซโนะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเนื้อหาในสมุดเล่มนี้

สิ่งเหล่านี้มักทำให้จิตใจฉันสงบขึ้นเสมอ

ข้อความที่ให้กำลังใจ

‘รีบหายแล้วมาเล่นเบสบอลต่อได้แล้ว!’

เรื่องราวที่บอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆ

ฉันโคตรคิดถึงอาหารฝีมือนายเลยว่ะ งานฉลองปีนี้ขาดนายไม่ได้นะเว้ย!’

ภาพแห่งความทรงจำ ทั้งทุกข์และสุข…

‘ยังจำวันที่พวกเราไปโคชิเอ็งด้วยกันได้ไหม…’

ตัวฉันในตอนนั้นคงมีความสุขน่าดู

พอคิดได้ดังนั้นเขาก็ลอบยิ้มออกมา เมื่อเพื่อนสนิททั้งสองได้เห็นรอยยิ้มของคนที่เมื่อตะกี้ยังทำหน้าซังกตาย พวกเข้าก็ใจชื้นขึ้น

หวังว่านายจะกลับมาเหมือนเดิมในเร็ววันนะมิยูกิ

….

“มิยูกิหมอว่าไงบ้าง”

เป็นโซโนะที่พูดขึ้นมา

“อ่า…ก็ยังคงต้องอยู่ดูอาการน่ะ และฉันยังไม่ค่อยมีแรงเดินด้วย ยังไงกลับบ้านไปก็จะเป็นภาระเปล่าๆ ฮ่าๆ”

“เห…น่าเบื่อแย่เลยแฮะ ตั้งแต่นายมาอยู่ที่นี่ได้ออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้างไหมเนี่ย”

“ยังเลย…”

พอได้ยินดังนั้นคุราโมจิก็หันไปส่งซิกโบ่ยหน้าไปทางประตูให้กับโซโนะเหมือนบอกให้ไปทำอะไรบางอย่าง

“รับทราบ!”

คนรับรหัสตะเบ๊ะก่อนจะรีบเดินออกจากห้องไป

“อะไรน่ะ?”

“เซอร์ไพรส์ไง เห็นนายเบื่อๆพวกฉันเลยไปคุยกับพยาบาลมาให้น่ะ”

“มาแล้ว!”

โซโนะเปิดประตูเข้ามาพร้อมเข็นบางสิ่งเข้ามาด้วย

“คราวนี้นายจะได้ไม่ต้องอุดอู้อยู่ในห้องสักทีล่ะ”

“พวกนาย…”

มันคือรถเข็นผู้ป่วยนั่นเอง

มิยูกิยิ้มบางๆออกมาจ้องมองเพื่อนทั้งสองอย่างไม่เชื่อสายตา

ที่จริงเขาก็อยากลองออกไปสูดอาการข้างนอกบ้างแต่ไม่อยากสร้างความยุ่งยากนัก และในช่วงแรกๆคุณหมอเองก็เป็นห่วงเขาอยู่ด้วย

“เอาล่ะไปกันเถอะ!”

“อือ ขอบใจนะ”

ทั้งสองอึ่งไปพักเมื่อได้ยินคำๆนี้หลุดจากปากเพื่อนของเขา ถึงจะรู้ว่าอาจจะเพราะยังจำอะไรไม่ค่อยได้ว่าปกติตนเองปฏิบัติตัวยังไง แต่มันก็อดรู้สึกดีไม่ได้

“ย๊ะฮ่า พอนายพูดจาแบบนี่แล้วรู้สึกขนลุกชอบกลแฮะ”

“โฮ่ยๆ”

“ฮ่าๆๆ ใจจริงของหมอนี่อาจจะเป็นอย่างนี้ก็ได้นะ”

มิยูกิหน้าขึ้นสีนิดหน่อยก่อนจะตัดสินใจพูดขัดแก้เขิล

“พาฉันไปได้แล้วน่ะ!”

“คร้าบๆ”

หลายๆครั้งฉันก็สงสัยว่าตัวฉันเมื่อก่อนปฏิบัติกับคนเหล่านี้ยังไงกัน…เฮ้อ

 

 

ความอบอุ่นจากแสงแดดอ่อนๆที่ไม่ได้สัมผัสมานาน เสียงใบไม้ที่กระทบกับลมเอื่อยๆ ดอกไม้ใบหญ้าที่มีให้เห็นอยู่ทั่วไป และผู้คนที่กระจายกันอยู่เป็นหย่อมๆ

ข้างนอกมันเป็นอย่างนี้สินะ ไม่มีอะไรให้น่าตื่นเต้นมากนักแต่มันกลับทำให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

“ท่าจะชอบแฮะ”

“หืม?”

“ไม่มีอะไรฮ่าๆ อยากไปตรงไหนไหม พวกฉันจะพาไป”

คุราโมจิและโซโนะที่ซุบซิบกันอยู่สองคนเมื่อครู่หันมาถามเขา

“ก็ไม่มีที่ๆอยากไปหรอก แค่ได้ออกมาอย่างนี้ก็ดีแล้ว ร่างกายฝืดจะแย่ อื้อออ”

คนที่นั่งอยู่บนรถเข็นบิดขี้เกียจไปมา

ทั้งสองพอได้เห็นท่าทีของอีกฝ่ายก็หันไปยิ้มให้กัน รู้สึกดีใจที่เพื่อนสนิทของพวกเขาดูมีชีวิตชีวาขึ้น

ตอนที่รู้เรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น พวกเขาตกใจมากและยิ่งรู้สึกตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อรู้ว่ามิยูกิจำพวกเขาและคนอื่นๆไม่ได้ ดูเหมือนว่าความทรงจำตั้งแต่ช่วงมัธยมจนถึงปัจจุบันจะขาดๆหายๆ

และตั้งแต่วันนั้นเป้นต้นมาเพื่อนของพวกเขาที่เคยมีรอยยิ้มกวนประสาทเป็นของคู่กายคนเดิมก็ได้หายไป

พวกเขาจึงตัดสินใจช่วยกันทำในสิ่งที่ทำได้…

“ฮี่ๆ บางทีฉันก็คิดนะ~ พวกนายเนี่ยเหมือนแม่หรือพี่เลี้ยงไม่มีผิด อ่า…อย่างนี้ฉันก็ดูเหมือนเด็กไปเลยสิ ไม่ดีๆ”

“…ไอ้นี่”

ความกวนประสาทคงเป็นสันดานของมันอยู่ดี

ครืนๆ

จู่ๆเสียงโทรศัพท์มือถือของคุราโมจิก็ดังขึ้น เมื่อเขาหยิบมันขึ้นมาและรู้ว่าเป็นใครจึงรีบรับในทันที

“ครับ! ฮัลโหลเรียวซัง! เอ๊ะ เอาอะไรมาเยอะแยะครับนั้น …ขอโทษที่เสียงดังครับ อ่อของพวกเซมไปเหรอครับ อ่า…โอเคครับ โซโนะก็อยู่ด้วย จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”

“มีอะไรเหรอ”

หลังจากที่สายวางไปโซโนะก็ถามด้วยความสงสัย

“เรียวซังมาส่งส่วยน่ะ พวกเซมไปฝากของมาเยี่ยมเพียบ เลยสั่งให้ไปช่วยยกมาน่ะ”

“อ่อ…”

ทั้งคู่ทำหน้าชั่งใจ อดเป็นห่วงมิยูกิไม่ได้ ไม่กล้าทิ้งไว้

“พวกนายไปกันเถอะน่ะ ฉันไม่ใช่เด็กอนุบาลนะ ทำเป็นคุณแม่ห่วงลูกไปได้ ฮ่าๆๆ”

“สักป้าบดีไหมเนี่ย…”

คุราโมจิได้ยินดังนั้นก็กัดฟันทำตาเขียวใส่ เช่นเคย…โซโนะต้องห้ามเอาไว้

“นายนิ…งั้นอย่าไปไหนไกลล่ะ เดี๋ยวพวกฉันจะรีบกลับมา”

“โอ้”

มิยูกิทำท่ารับทราบ จากนั้นทั้งสองก็ออกเดินไปโดยมีคุราโมจิที่ยังคงบ่นกระปอดกระแปดเกี่ยวกับความกวนประสาทของเขา

ฮ่าๆๆ ตลกชะมัด ขอบใจที่เป็นห่วงกันนะ

.

.

.

สถานที่แห่งนี้คือสวนสาธารณะส่วนกลางของโรงพยายาบาล มีทั้งผู้ป่วย ญาติ และคนจากข้างนอกเข้ามานั่งนอนพักผ่อนหย่อยใจทุกวันเป็นปกติ

เขาก็เคยเห็นระหว่างทางไปทำกายภาพบำบัดบ้าง ไม่คิดเหมือนกันว่าจะเป็นสถานที่ด้านนอกที่แรกที่จะได้มาสัมผัส

เป็นที่ๆดีนะ

รอยยิ้มบางๆถุกคลี่ออกมา สายตายังคงมองไปรอบด้านด้วยความสงบใจ

“เฮ้อ…”

เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พลางคิดนู้นคิดนี่ไปเรื่อยแต่แล้วหูของเขาก็ดันได้ยินบางอย่างที่น่าสนใจจนทำให้เขาถึงกับต้องเบือนหน้าหันไปมองผู้พูดที่นั่งหันหลังอยู่ที่ม้านั่งไม่ไกลจากเขามากนัก

“คุณปู่เพิ่งเสียคนรักไปเหรอครับ’

“อือ….”

“…เสียใจด้วยนะครับ”

“ฮ่าๆ ฉันไม่เศร้าใจเรื่องที่เราต้องจากกันหรอกนะ พวกเราอยู่กันมานานเกินแล้วอีกไม่นานคงได้เจอกัน”

“อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ…”

“….”

บรรยากาศช่างดูอึมครึม การต้องจากลากับคนที่เป็นที่รักมันเศร้า…เขาเข้าใจดี

แม่ของเขา…และ

และ…?

ชั่วขณะหนึ่งบางสิ่งมันขึ้นมาจุกอยู่ที่อก ภาพบางอย่างในหัวสมองถูกฉายขึ้นมาแต่มันกลับเป็นเพียงแค่เสี่ยววินาทีเท่านั้นก่อนที่จะหายไป

ฉันกำลังจะพูดว่าอะไรกัน

บทสนทนายังคงดำเนินต่อไปโดยมีชายชราเป็นผู้เล่าเสียส่วนใหญ่ มิยูกิยังคงแอบลอบฟังอยู่อย่างนั้นโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้สนใจนัก

แต่แล้วจู่ๆเด็กหนุ่มที่เป็นผู้ฟังที่ดีอยู่นานก็พูดขึ้น

“วันนี้ผมมาเยี่ยมคนๆหนึ่งครับ เขา…”

“คนรักสินะ”

ชายชราพูดยิ้มๆอย่างรู้ทัน ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปพักเหมือนไม่มั่นใจบางอย่างก่อนจะพยักหน้าเบาๆ

“เขายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม”

“ฮ่าๆๆยังอยู่ครับยังอยู่ น่าจะอาการดีขึ้นแล้วด้วย”

“เป็นเช่นนั้นก็ดีไป ดูแลเขาให้ดีๆล่ะ”

“…แต่ว่า”

“…..”

มิยุกิเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาสที่หนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ

ชักจะรู้สึกผิดที่แอบฟังแฮะ

ดูทีท่าแล้วเพื่อนของเขาคงจะยังไม่กลับมาในอนาคตอันใกล้เป็นแน่เขาจึงตัดสินใจจะเคลื่อนย้ายไปยังจุดอื่น

แต่…

กึก…กึกๆ

มันใช้ยังไง

ลืมคิดไปสนิท ไม่เคยได้ใช้ด้วยสิ แล้วอย่างนี้จะไปไหนได้เนี่ย!

“จิ๊…ให้ตายสิ”

“ขอโทษนะครับ ต้องการให้ช่วยอะไรหรือเปล่า”

“อ่า…”

จู่ๆเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง เมื่อเขาเอี้ยวตัวหันไปมองผู้พูดก็พบว่าเป็นชายหนุ่มคนที่เขาถือวิสาสะแอบฟังบทสนทนาของเจ้าตัว

ตายล่ะ

เด็กหนุ่มยิ้มอย่างเป็นมิตรระหว่างเดินมาทางเขา

รอยยิ้มนั่น…

มิยูกิจ้องมองคนๆนั้นด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อได้เห็นรอยยิ้มและใบหน้านั้นชัดๆ แต่ไม่ทันได้คิดอะไรต่อ เขาก็สังเกตเห็นว่าคนๆนี้มีท่าทีตื่นตระหนกไปชั่วขณะเมื่อเห็นใบหน้าของเขา…

เอ๊ะ?

ดวงตากลมตาโตของชายหนุ่มมองเขานิ่ง ท่าทางตื่นตระหนกเมื่อครู่ถูกทำให้หายไปในชั่วพริบตาเมื่อรู้ตัวว่าตนกำลังถูกจ้องกลับ

มิยูกิตัดสินใจส่งยิ้มให้อีกฝ่ายแทนและทักออกไป

“เอ่อ…ขอโทษนะครับ”

“อะเอ๊ะ ค…ครับ”

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ท่าทางแปลกๆนะ หรือว่า…”

“เห๊ะ ป…เปล่าครับ ฮ่าๆๆ”

แปลก…

ดูเหมือนจะตกใจที่ได้พบกัน หรือเขาจะรู้จักฉัน…แต่ถ้ารู้จักกันจริงๆก็น่าจะคุยกันเป็นธรรมชาติมากกว่านี้สิ

ก่อนที่เขาจะตั้งคำถามกับตัวเองไปมากว่านี้ เด็กหนุ่มก็ทักขึ้นมาด้วยท่าทีที่ใจเย็นขึ้น

“คุณอยากไปตรงอื่นใช่ไหมครับ ล้อมันล็อคอยู่น่ะ ผมจะปลดล็อคให้นะ”

“โอ๊ะ มันล็อคอยู่นี่เอง ฮ่าๆๆ”

มิยูกิหัวเราะแก้เกร่อ รู้สึกอายนิดหน่อยที่ไม่รู้วิธีการใช้เจ้านี่ทั้งๆที่มันดูง่ายมากแท้ๆ

เขาคนนั้นเดินเข้ามาปลดล็อคล้อให้ นัยน์ตาสีน้ำตาลจดจ้องทุกการกระทำของอีกฝ่าย แต่จู่ๆเจ้าตัวกลับเงยหน้าขึ้นมาทำให้ดวงตาสีอำพันประสานเข้ากับสายตาของเขาพอดี

ตานั้น…

ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้เปิดโอกาสให้เขาได้คิดอะไรต่อ เจ้าตัวก็รีบลุกขึ้น

“คงจะใช้ได้แล้วล่ะครับ ถ้างั้น…ผมขอตัวก่อนล่ะ”

“อ…โอ้ ขอบใจนะ”

มิยูกิรู้สึกเคลือบแคลงใจกับท่าทีของอีกฝ่ายแต่ก็เลือกที่จะหยุดความคิดต่างๆนานาลง

ฉันอาจจะเคยไปทำอะไรให้เขาหรือเปล่านะหรือเขาจะรู้ว่าฉันแอบฟังอยู่

จากนั้นเขาก็ตัดสินใจหมุนล้อเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเพื่อพยายามไปทางจุดอื่นแทน

แต่แล้ว…

กึก!

“เหวอ!”

จู่ๆเจ้ารถเข็นก็ดันเสียสมดุลเพราะก้อนหินที่เขาไม่ทันได้มอง ร่างกายเขาไม่มีแรงพอที่จะช่วยยัดตัวเขาเอง ภาพด้านหน้าเริ่มโอนเอียงตามแรงโน้มถ่วงไปอย่างช้าๆ

ล้มแน่!

“มิ…!”

ห๊า?

ฟึบ!

ภาพเบื่องหน้ากลับมาอยู่ในแนวขนานอย่างเดิม ใจที่หล่นวูบไปเมื่อครู่ด้วยความตกใจกลับมาเป็นปกติ แต่จังหวะการเต้นของหัวใจกลับแรงและเร็วกว่าเมื่อครู่เมื่อเขาเริ่มรู้ถึงสัมผัสจากอ้อมแขนของใครบางคนและแรงกอดที่ช่วยพยุงเขาเอาไว้

ตึกตัก

ตึกตัก

ตึกตัก…

ความรู้สึกนี้มัน…

“…..”

เวลาเหมือนหยุดไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่มีใครพูดอะไรไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ

พอเรียกสติได้มิยูกิก็หันไปมองคนที่ช่วยเขาเอาไว้ซึ่งเขาพอจะเดาได้ว่าเป็นใคร

กลุ่มผมสีน้ำตาลยังคงซุกอยู่ด้านหลังของเขา เจ้าตัวยังคงนิ่งอยู่ท่าเดิมไม่พูดอะไร จนกระทั้งมิยูกิยกมือขึ้นแตะไปที่ท่อนแขนของอีกฝ่าย

“อ๊ะ!”

“…..”

เจ้าของกลุ่มผมสีน้ำตาลดูตื่นตกใจ เขารีบผงะถอยหลังออกไป ตาโตจ้องมองมาที่มิยูกิด้วยความรู้สึกที่ปะปนกัน ก่อนจะเฉมองไปทางอื่นแทนเพื่อหลบสายตาของอีกฝ่ายที่จ้องมองมา

“นาย…”

“ม…ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”

“เอ๊ะ อ้า…”

ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ไม่มีบทสนทนาอะไรอีก ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่อยู่ในหัวของพวกเขา

เมื่อกี้เขาเรียกชื่อฉันหรือเปล่า

จนได้…

แล้วไอ้ท่าทีนั้นมันคืออะไร

ไม่น่าเลยฉัน ชักไม่ดีแล้วสิ

สายตานั้นมันแปลว่าอะไร

อย่ามองมาทางฉันแบบนั้น

นายรู้จักฉันใช่ไหม เรารู้จักกันใช่ไหม

ฉัน…

ความรู้สึกนี่ หัวใจ…ทำไม มันเต้นแรงขนาดนี้

มันช่างน่าเจ็บใจนัก

สัมผัสนั่น มัน…คุ้นเคย

 

‘คิดถึงเหลือเกิน’

 

“นายเป็นใครกันแน่”

“…..”

“ฉันถามว่านายเป็นใคร”

มิยูกิยังคงจ้องมองไปทางเด็กหนุ่มที่ยืนก้มหน้านิ่ง เขาพยายามเพ่งมองทุกอย่าง ทุกส่วน ทุกการกระทำ

ทำไมไม่ตอบ …

.

.

‘มิ…’

.

.

“อึก! จิ๊….”

ชั่วครู่หนึ่งภาพบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง เป็นภาพของใครบางคนที่ชัดเจนมากขึ้นกว่าเมื่อสักพัก

ใคร!

ในหัวรู้สึกสับสนไปหมด อาการปวดแปลบสลับกับแรงกดเหมือนถูกบีบที่ขมับอย่างแรงแล่นเข้ามาอย่างเฉียบพลัน

ยิ่งใช้ความคิด ยิ่งขุดค้นลงไปเพื่อหาคำตอบเท่าไหร่ ความเจ็บปวดก็ยิ่งทวีคูณ

เจ็บ…ปวด…

“ฮึก…ทำไม”

ภาพเบื้องหน้าเริ่มพร่ามัว เหงื่อไหลซึมตามร่างกายผิดกับผิวกายที่เย็นลง ลมหายใจหอบถี่ ความเจ็บปวดที่หัวยังคงเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้น

มือหนากุมศีรษะของตนเอง ก้มหน้าขดตัวลงเพราะความเจ็บปวด

เมื่อเด็กหนุ่มสังเกตเห็นสิ่งปกติเขาจึงแสดงสีหน้าเป็นห่วงออกมาอย่างเห็นได้ชัด

“ป…เป็นอะไรหรือเปล่า”

“นาย…เป็นใคร”

“…..”

“โฮ่ยมิยูกิ!”

เสียงตะโกนดังขึ้นจากอีกทาง เพื่อนๆของเขากลับมาพร้อมข้าวของพะลุงพะลัง แต่เมื่อเห็นท่าทีที่ไม่ปกติของเขา ทุกคนจึงรีบวิ่งมาดูอาการ

“เฮ้ยเป็นอะไร!”

“ปวด…หัว แฮ่ก…แฮ่ก”

“ใจเย็นๆนะมิยูกิ หายใจลึกๆสิ”

เป็นคุราโมจิที่วิ่งมาถึงก่อน เขามัวแต่เป็นห่วงเพื่อนสนิทจนไม่สังเกตเห็นอีกคนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่แรก

เขาพยายามตรวจเช็คเพื่อนของเขาและหาวิธีทางที่จะทำให้อาการสงบลง รีบบอกให้โซโนะไปเรียกพยาบาลมา

แต่แล้วเขาก็เหลือบไปเห็นบุคคลที่ยืนห่างออกไป เมื่อเขารู้ว่าเป็นใครเขาก็ถึงกับพูดไม่เป็นศัพท์

“นาย….”

“……”

“คุราโมจิ…หมอนั้น ใคร”

มิยูกิยังคงพยายามพูดออกมาแม้เรี่ยวแรงจะแทบไม่มี เขายังคงจ้องเขม่งไปยังบุคคลเดิม

เพื่อนของเขาบัดนี้ปั้นหน้าไม่ถูก สายตายังคงจ้องมองไปทางเด็กหนุ่มไม่กระพริบตา สุดท้ายคำพูดก็หลุดออกมาจากเรียวปากนั่น

“ซาวามูระ…มาที่นี่ได้ยังไง”

ว่าอะไรนะ

ความรู้สึกและสัมผัสต่างๆหยุดทำงาน มีเพียงดวงตาที่เบิกกว้างมองไปในทิศทางเดิม

.

.

.

‘ซาวามูระ’

 

“ซา…”

ก่อนที่จะได้พูดอะไรออกมา ปากของเขารู้สึกหนักเหมือนโดนยาชา ร่างกายสั่นไปหมด และความรู้สึกสุดท้ายที่เขาได้รับคือความเจ็บดั่งค้อนทุบลงมาที่กลางหัว

ทุกอย่างเหมือนกำลังจะแตกละเอียด…พร้อมกับภาพที่ปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจนในเลวลาเดียวกัน

.

.

.

.

‘มิยูกิเซมไป’

 

อย่า…หยุดเถอะ

 

‘ปล่อยฉันเถอะนะ…’

.

.

.

.

“อ๊ากกก!!!”

เมื่อภาพนั้นมลายหายไป มิยูกิก็แผดเสียงดังลั่นด้วยความเจ็บปวด เขาดิ้นทุรนทุรายไม่หยุดจนร่างล้มลงกับพื้น

ตึ้ง!

“มิยูกิ!”

นั่นคือเสียงสุดท้ายที่เขาได้รับรู้…

เสียงจากเด็กหนุ่มที่วิ่งมาทางเขาและกำลังร้องไห้ออกมา…

 

จากนั้นทุกๆอย่าง…กลายเป็นสีดำมืดไป…

.

.

.

.

.

 

‘มิยูกิเซมไป’

 

เสียง ดวงตา และรอยยิ้มนั่น…

 

ฉันโหยหาเหลือเกิน

.

.

.

.

.

แต่

 

‘นายเป็นใครกัน’

 

***To be continue***

 

———–

รู้สึกฟิตมาก…ด้วความบ้าช้ำใจจากการซุยข้อสอบ
ที่จริงแต่งจบไปเมื่อคืนเพราะนอนไม่หลับอยากแต่ง แต่แน่นอนว่ามันต้องแก้หลายรอบทั้งเนื้อหาและคำต่างๆ

By my side เป็นเรื่องแรกเลยที่แต่งตอนต่อ เรื่องอื่นไม่จบตอนเดียวก็เป็นside story ภูมิใจเล็กๆ555 แต่ก็ทำให้แอบคิดวชมากเหมือนกันว่ามันจะดีพอหรือเปล่า หวังว่าจะชอบกันบ้างนะTvT

ช่วงนี้โหมทำอะไรหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน แต่ก็เสร็จเป็นส่วนๆและอย่างๆไปนะ โรคจิตกลัวไม่ได้ทำ55 ชอบพูดว่าไม่ค่อยว่างแต่เพราะชอบหาอะไรทำตลอดเวลามากกว่า แต่เวลาขี้เกียจนี่จะน่ากลัวมาก…อาจจะนอนกลายเป็นศพได้

วันนี้ลาล่ะ จะพยายามในหลายๆอย่างนะ ขอบคุณเพื่อนๆที่อ่านกัน สามารถติชมกันได้นะ!

 

 

2

[AU Daiya no A] By my side 1.0 : MiSawa

By my side 1.0 : MiSawa

Camellia_x_williamsii_'Jury's_Yellow'_01.jpg

 

เอี๊ยด!!! โครม!

วี้หว่อๆๆ

….

.

.

อะไรคือความจริง

บางทีความจริงอาจจะเป็นความฝัน และความฝันอาจจะเป็นความจริง…

 

แล้วฉันควรเชื่ออะไร

ช่วยบอกฉันที…

.

.

.

.

 

“มิยูกิเซมไป…ขอโทษ”

รู้สึกหัวใจเหมือนหยุดเต้นไปชั่วขณะ รอยยิ้มที่ดูมั่นใจในตอนแรกเลือนหายไปในทันที

“การได้อยู่กับนายทำให้ฉันมีความสุขมาก แต่ว่า…”

เดี๋ยวก่อนสิ อย่า…

“ฉันไม่สามารถอยู่เคียงข้างนายต่อไปได้”

มันต้องไม่เป็นแบบนี้สิ

“ขอบคุณช่วงเวลาดีๆที่มอบให้ฉัน”

อย่าพูดต่ออีกเลย…ได้โปรด

“ฉันหวังว่านายจะเข้าใจ”

ทำไมนายถึงยิ้มแบบนั้นทั้งๆที่พูดประโยคเหล่านั้นออกมา

มันเจ็บ…ปวด

เขาเดินออกไป มือของฉันเอื้อมไปคว้าร่างของเขาและกอดไว้แน่น

อย่าเพิ่งไป อย่าทำกับฉันแบบนี้

“มิยูกิเซมไป”

ช่วยบอกทีว่านี่คือการล้อเล่นกัน มันไม่ใช่ความจริง…

“ปล่อยฉันเถอะนะ…”

มือไม้สั่นเทา ร่างกายมันไร้เรี่ยวแรงเพียงเพราะคำพูดไม่กี่พยางค์

ในหัวว่างเปล่า ฉันไม่สามารถทำอะไรต่อได้ สิ่งที่ฉันทำได้มีเพียง…ปล่อยให้ร่างในอ้อมแขนเดินหน้าต่อไป

ไปจากฉัน…

ซา…

“ซาวามูระ!”

.

.

.

.

.

พรึบ!

“แฮ่ก แฮ่ก อึก…”

เกิดอะไรขึ้น

“งืม…”

หือ?

มือหนาสัมผัสกับกลุ่มผมนุ่มๆที่คุ้นเคยของคนข้างตัวที่ยังคงหลับตาพริ้ม

“ซาวามูระ?”

เตียงนอน…ฝันไปสินะ

“…..”

เป็นฝันที่…

ใจยังคงเต้นรัว แม้จะช้าลงจากเมื่อสักครู่แล้วแต่มันไม่ได้ทำให้เขาสงบสติอารมณ์ได้เลย

หยดเหงื่อไหลตามรูปหน้าและร่างกลายที่เปลือยเปล่า แม้ข้างในจะร้อนรุ่มแต่ผิวกายกลับเย็นเฉียบ

หนาว

เมื่อสติเริ่มกลับมา สายตาก็เหลือบไปมองคนที่ยังคงหลับสนิทอยู่…

ยังอยู่สินะ…

“เฮ้อ”

ร่างหนาขยับเข้าไปใกล้คนข้างกาย แขนเยียดออกโอบรัดร่างเล็กกอดเข้ามาชิดแน่น

ยังอยู่…อยู่ข้างๆฉัน

“อือ…หืม? มิยูกิ”

เขาสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาเมื่อรับรู้ถึงแรงกอดรัดจากอีกฝ่าย

“…..”

“อะไร เช้าแล้วเหรอ”

“ยัง”

“มันอึดอัดนะ ปล่อย”

“…..”

แทนที่เขาจะคลายอ้อมกอดออกตามที่อีกคนบอก เขากลับกอดแน่นยิ่งกว่าเดิม

ปล่อย?

“มิยูกิ กอดแน่นไปแล้ว ฉันเจ็บ ปล่อ–“

“อย่าพูดคำนั้นออกมา”

“เอ๋?”

“…..”

“คำว่าอะไร”

“ขออยู่แบบนี้สักพัก”

“…..”

ซาวามูระตัดสินใจปล่อยให้เขาทำในสิ่งที่ต้องการ แม้ในใจจะเริ่มสงสัยและเกิดคำถามต่างๆนานา

สัมผัสของผิวเนื้อที่สั่นเทาที่อยู่แนบหลังของเขาและลมหายใจที่หอบถี่รดต้นคอ ทำให้เขารู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติ

“เป็นอะไร”

“…..”

มีเพียงความเงียบ ไร้ซึ่งคำตอบ

เขาหันตัวไปเพื่อจะได้มองหน้าของคนด้านหลังได้สะดวกขึ้น

ดวงหน้าคมยังคงไม่ขยับหันหนี สายตานั้นจ้องมองเข้ามาในดวงตาของเขาด้วยความรู้สึกปะปนกันจนทำให้เขาไม่สามารถคาดเดาอะไรได้

ตากลมจ้องมองกลับหวังจะหาคำตอบ แต่สุดท้ายก็ได้แค่เอื้อมมือออกมาลูบหัวคนตรงหน้าเบาๆ

“ฝันร้ายเหรอ”

“…..”

“ถ้าไม่พูดฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่านายเป็นอะไรน่ะ”

“ซาวามูระ…พูดว่ารักกับฉันหน่อยสิ”

“ห๊า?”

ตากลมเบิกกว้าง งุนงงกับคำพูดของอีกฝ่ายที่จู่ๆก็โพล่งออกมา

“อ…อะไรของนาย”

“…..”

“เป็นอะไรเนี่ย”

“นะ”

“…ม…ไม่เอา”

“ทำไม”

“เพื่ออะไรเล่า!”

“…..”

“นึกว่าอะไร ติ๊งต๊อง จะแกล้งอะไรกันอีกล่ะ นอนไปเลยไป๊”

“…..”

ใบหน้าของมิยูกิยังคงนิ่งเรียบ แม้เจ้าตัวจะเงียบไม่พูดอะไรแต่การกระทำดูเหมือนจะมีเหตุผลบางอย่าง ตาคมที่จ้องมองมามันช่าง…ดูเว้าวอน

“นะ”

“จิ๊ คำพูดแบบนี้มันพูดกันได้ง่ายๆที่ไหนเล่า!”

ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าว เขาตัดสินใจหันหลังหนีจัดการเอาผ้าห่มคลุมโปงทำเป็นไม่สนใจ

“…..”

มิยูกิยังคงจ้องมองการกระทำทุกอย่างนิ่งๆ

ช่วยทำให้ฉันมั่นใจขึ้นหน่อยไม่ได้หรือไง

ฉันก็แค่…

“รัก”

“….!?”

ก่อนที่เขาจะหันหลังให้อีกฝ่าย คำพูดบางอย่างก็หลุดออกมา แม้มันจะเบามากแต่เขาก็ได้ยินจนต้องรีบหันกลับไปจ้องมองร่างเล็กที่ยังคงขดตัวอยู่ในผ้าห่มนั่น

“เมื้อกี้นายว่าอะไรนะ”

“…..”

“โฮ่ย”

“ฉันพูดไปแล้วจะไม่พูดอีก”

“ซาวามูระ”

เขาขยับเข้าไปใกล้และตัดสินใจจับให้ร่างตรงหน้าหันกลับมาทางเขา

แต่ไม่ทันที่จะได้ทำอะไร เขาก็เหลือบเห็นซีกหน้าที่โผล่ออกมา

มันแดง…จนถึงหู แดงอย่างกับลูกตำลึง

ฮ่าๆ

“ก็ฉันไม่ได้ยินนิ พูดอีกครั้งสิ”

“ไม่เอา!”

“โธ่ นะๆๆ”

“ไม่ต้องมาทำอ้อนเลย ฉันรู้ว่านายได้ยิน!”

“อะไรกัน~”

น่ารัก…

มิยูกิยิ้มบางออกมา การกระทำของเจ้าหนูนี่ทำให้ความขุ่นหมองในใจของเขาหมดไปในทันที

“ซาวามูระ ฉันรักนาย”

“…..”

“รัก”

“…..”

“รัก”

“….”

“รั—“

พรึบ!

“พอได้แล้วน่ะ!”

ว่าแล้วคนที่อยู่ในผ้าห่มก็ทนไม่ไหวจนต้องลุกขึ้นมาปิดปากอีกฝ่าย

“ฮ่าๆๆ”

ภาพที่มิยูกิเห็นคือปฎิกิริยาเดิมๆที่เขาไม่เคยเบื่อ ท่าทางลุกลี้ลุกลนของเด็กหนุ่ม ใบหน้าที่ขึ้นสีแดงจัด คิ้วมุ่นจนแทบจะผูกกันเป็นโบว์

“นายนี่นะ”

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เผยออกมา ก่อนมือหนาจะจับข้อมืออีกคนออกไป  เขาก้มหน้าค่อยๆบรรจงพรมจูบไล่ไปตั้งแต่หลังมือ แขน ไหล่ และซอกคอ

“อือออ…มิยูกิ จะ…ทำอะไร”

มิยูกิถอนตัวออกมาและยื่นมือออกไปลูบข้างแก้มของคนตรงหน้าอย่างเบามือและยิ้มบางๆออกมาอีกครั้งพร้อมกับส่งสายตาที่ดู…อบอุ่นกว่าทุกครั้งเท่าที่ซาวามูระเคยเห็น

“ฉันรักนาย”

เมื่อเห็นว่าปากอิ่มตรงหน้ากำลังอ้าออกเหมือนจะพูดอะไร เขาจึงรีบจัดการประกบปากของเจ้าตัวด้วยปากได้รูปของเขา เขาค่อยๆบดริมฝีปากของอีกฝ่ายเบาๆ

“ฮึก อือออ มิ…”

ร่างสูงเริ่มรุกล้ำไปยังส่วนต่างๆก่อนจะค่อยๆโน้มตัวทิ้งน้ำหนักลงจนทำให้ร่างของซาวามูระถูกดันลงเตียงอย่างเลี่ยงไม่ได้

“แฮ่กๆ ทำบ้าอะไร”

“ฮี่ๆ”

ดวงตาสีอำพันถูกฉาบไปด้วยม่านน้ำตาจนดูหยาดเยิ้มกว่าปกติ ดวงหน้าแดงกล่ำบ่งบอกถึงอุณหภูมิของร่างกายที่เริ่มสูงขึ้น ร่างเล็กสั่นระริกดูอ่อนแรงลง

เมื่อมิยุกิเห็นเช่นนั้นก็กระตุกยิ้มออกมา

อ๊า…แย่ล่ะสิ

“ซาวามูระ ฉัน…”

“นาย…อย่าบอกนะว่า”

“อีกรอบนะ”

“ไม่นะ!”

ซาวามูระปฏิเสธทันควัน รีบหยิบหมอนข้างกายมากอดเพื่อป้องกันร่างกายของเขา

เมื่อมิยูกิเห็นเช่นนั่นจึงนึกสนุกขึ้นมา

“งั้น…พูดว่ารักฉันอีกรอบฉันอาจจะยอมก็ได้”

“…..”

“ว่าไง~”

“ฉัน…รัก”

“อะไรนะ”

“รัก…มิยูกิ”

เจ้าหนูพูดเสียงอู้อี้อยู่ใต้หมอน ถึงมันจะไม่ค่อยจะดูชัดถ่อยชัดคำนักแต่เขาก็รับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายได้

ความเขิลอายของหมอนี่…อ๊าไม่ไหว ก็ไม่ได้คิดว่าจะพูดออกมาจริงๆ แต่ทำอย่างนี้มันจะน่ารักไปแล้ว

“ซาวามูระ…”

“…..”

ฟึบ!

หมอนใบโตที่บดบังร่างที่นอนอยู่ถูกดึงออกไปโดยไม่ทันที่ซาวามูระจะได้ตั้งตัว เผยให้เห็นใบหน้าที่ยังคงแดงกล่ำและร่างกายที่สั่นเทา

“ทำอะไรเนี่ย! ก็พูดไปแล้วยังไงเล่า!”

“ซาวามูระ”

มิยูกิจ้องมาทางเขานิ่ง จากนั้นใบหน้ายิ้มแย้มหน้าเดิมๆที่เคยเห็นบ่อยๆก็ปรากฏขึ้น

ใบหน้าที่ยิ้มพอใจจนตาแทบปิดเวลาได้แกล้งเขา…

ไม่น่ารอด

เจ้าตัวโน้มกายเข้ามากอดเขาแน่น แม้ซาวามูระดิ้นสุดแรงอย่างไรก็ไม่สามารถหลุดไปจากพันธนาการได้

“มิยูกิ!!!”

“ฉันพูดว่าอาจจะต่างหากไม่ได้พูดว่าจะยอมแน่ๆซะหน่อย ฮี่ๆ”

“หนอย! เจ้าเล่ห์นักนะ!”

“เอาล่ะ…เพราะฉะนั้น อิทาดากิมัส!”

ว่าแล้วเขาก็เลียลิมฝีปากเหมือนกำลังจะลงมือรับประทานอาหารจานเด็ด

“มิยูกิบากะ!”

“ฮ่าๆๆๆ”

.

.

.

.

.

.

นายรู้อะไรไหม…

การกระทำของนาย และสิ่งที่นายพูดออกมานั่นน่ะคือสิ่งเล็กๆที่ทำให้ฉันมีความสุขมากแค่ไหน

ได้โปรดอยู่กับฉันอย่างนี้

อยู่เคียงข้างฉัน

และรักฉันต่อไป

 

ถ้าไม่มีนาย

ถ้านายไม่ต้องการฉัน

ถ้านายจะให้ฉันปล่อยนายไป

 

เมื่อถึงตอนนั้น

ให้ฉัน…

 

‘ขอให้ฉันลืมเรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวกับนายยังจะดีเสียกว่า’

 

.

.

.

.

.

‘อะไรกันแน่ที่เป็นความจริง…’

.

.

.

.

.

เฮือก!

เกิดอะไรขึ้น

ทำไมถึงขยับไม่ได้ล่ะ ร่างกายมันไร้ความรู้สึกไปหมด

พวกคุณมุงมองอะไรกัน พูดอะไร ทำไมฉันไม่ได้ยินอะไรเลย…

‘ซา…วา…มู’

ซาวามูระ นายอยู่ที่ไหน

.

.

.

.

ติ๊ด…ติ๊ด…ติ๊ด…

‘ผู้บาดเจ็บได้รับการกระทบกระเทือนทางสมองอย่างมาก…’

เสียงใครกัน

ใคร…

‘มิยูกิเซมไป…’

….นาย

แพขนตาค่อยๆขยับ ดวงตาสีน้ำตาลค่อยๆปรือเปิด ภาพเบื้องหน้าเบลอไปหมด สักพักดวงตาก็เริ่มปรับความชัดอย่างอัตโนมัติ

เพดานสีขาว…ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

 

***To be continue***

 

—————————————–

สวัสดี! 

เอ่อ…ก่อนอื่นต้องขออภัยที่ไม่ยอมต่อฟิคเก่าสักทีTvT มีเหตุหลายๆอย่างทำให้ยังแก้ไม่เสร็จล่ะนะ จะพยายามนะ ยังไงก็ไม่ทิ้งแน่นอน

เรื่องนี้แต่งขึ้นเพราะได้รับความรู้สึกบางอย่างจากงานวาดเรื่องสั้นเรื่องหนี่งขณะที่กำลังเบื่อๆเครียดๆเพราะจะมีสอบ(นี่เพิ่งเปิดเทอมนะ) แต่ตอนแรกเราอยากแต่งเป็นเหตุการณ์สั้นๆเฉยๆ ควรจบตั้งแต่มิยูกิตื่น… แต่ด้วยพลอตที่แตกเป็นต้นไม้ขณะแต่งจึงทำให้ออกมาเป็นเรื่องยาวขึ้น(มาก) ซึ่งตอนแรกก็กะแค่อย่างยาวคงตอนเดียวจบ ดันออกมาเป็นTo be continueซะงั้น//ร้องไห้

อาจจะอ่านและงงๆบ้างแต่จะพยายามทำให้เข้าใจก่อนจะจบล่ะนะ เอาเป็นว่าคิดว่าอันนี้คงไม่ใช่เรื่องยาวมากนัก ต้องรอดูต่อไป

ขอบคุณคับ

ปล.เช่นเคย ใครเจอคำผิดแจ้งได้เลยนะ

0

[AU Daiya no A] The hidden tiger 0.5: ChrisSawa

The hidden tiger 0.5: ChrisSawa

whiterose1.jpg


ทุกคนมีอดีตที่ไม่สามารถเปิดเผยได้…

ไม่อยากให้ใครรู้…

ไม่อยากให้มันหวนกลับมา…

คุณเก็บความลับไว้ที่ใดกัน?

สำหรับฉัน…

 

มันอยู่บนแผ่นหลัง…เป็นตราบาปที่ไม่มีวันลืม

.

.

.

.

 

กริ๊ง…

เสียงกระดิ่งที่ประตูทางเข้าดังขึ้น

“ยินดีต้อนรับครับ”

“อ…โอ้”

เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนม.ปลายเดินเยื้องย่างเข้ามาในร้านอาหารเล็กๆ

วันนี้ก็ได้เจออีกแล้ว…ดีใจจัง

“วันนี้จะรับอะไรดีครับ”

“….”

“….?”

“อ…เอ่อ ขอเป็น…”

เจ้าตัวอ้ำๆอึ้งๆ สายตาลอกแลกดูลุกลี้ลุกลนชอบกล แม้เมนูอาหารจะอยู่ตรงหน้าแต่เขากลับไม่มีสมาธิที่จะเปิดดูมัน

“หึๆ แบบเดิมเหรอ”

ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในชุดสะอาดเรียบร้อยพูดขึ้น ใบหน้าคมจ้องมองมาที่เด็กหนุ่มพลางหัวเราะเบาๆ

“เอ๊ะ…”

ตากลมช้อนมองบุคคลข้างกายก่อนจะรีบก้มหน้าลงด้วยความ…เขินอาย

“ค…ครับ”

“รอสักครู่นะ” ว่าเสร็จชายหนุ่มก็ยิ้มบางๆให้ เดินกลับไปที่เคาท์เตอร์และเข้าห้องทำครัวไป

อ้ากกก เขาจำได้ล่ะ!

เจ้าเด็กหนุ่มที่นั่งสงบเสงี่ยมเรียบร้อยคิดในใจ เขากำมัดแน่น ถ้าทุบโต๊ะรัวๆได้เขาคงทำไปแล้ว

ช่างเงียบสงบเหมือนอย่างทุกวัน…

บรรยากาศรอบๆแม้จะไร้ผู้คนแต่มันกลับไม่ได้ดูวังเวงอย่างที่คิด แสงอ่อนๆที่ลอดผ่านกระจกบานใหญ่ทำให้ร้านดูโป่รงขึ้นมา กลิ่นไม้อ่อนๆจากเฟอร์นิเจอร์ที่ตกแต่งอยู่ภายในร้านประกอบกับช่อดอกไม้ในแจกันและกระถางในมุมต่างๆช่วยทำให้จิตใจสงบอย่างอธิบายไม่ถูก 

ฉันชอบที่นี่…

มันเป็นเหมือนโอเอซิสชั้นดี

กลิ่นหอมบางอย่างโชยมาเตะจมูก เป็นกลิ่นที่คุ้ยเคยที่เขาไม่เคยนึกเบื่อ 

อยากกินแล้วสิ

เด็กหนุ่มเจ้าของผมสีน้ำตาลเข้มนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว สายตาแอบเหลือบไปมองทางเคาท์เตอร์เป็นระยะๆ เขามองลอดผ่านบานพับกระจกเล็กๆที่อยู่เลยถัดจากเคาร์เตอร์ไปด้านหลัง

“ทำไมถึงดูดีอย่างนี้นะ~”

ภาพที่เขาเห็นคือเจ้าของร้านที่กำลังทำหน้าที่เป็นเชฟที่ดี ดวงตาของเขาดูมุ่งมั่นกับการทำอาหาร เชิ้ตดำที่ถูกพับแขนขึ้นทำให้สังเกตเห็นแขนแกร่งที่กำลังขยับกระทะและตะหลิวไปมา

หนุ่มน้อยยังคงจ้องมองภาพตรงหน้าไม่กระพริบตาพลางนอนราบไปกับโต๊ะเพื่อปรับมุมมองให้เห็นชัดสะดวกขึ้น

“อื้อ~ แค่ได้มองก็รู้สึกดีแฮะ อยากรู้จักกันมากกว่านี้จังน้า~”

เจ้าตัวฉีกยิ้มกว้างจนตาแทบปิด แต่แล้วพอลืมตาอีกที สายตาของเขาก็ดันประสานเข้ากับคนที่เขากำลังนึกถึง

“เหวอ!”

เขารีบหันหน้าหลบ รู้สึกหน้าร้อนผ่าวไปหมด

น่าอายชะมัด เมื่อตะกี้เขาจะเห็นว่าฉันทำอะไรแปลกๆหรือเปล่านะ

นัยน์ตาสีทองหลังบานเลื่อนยังคงจ้องมองมาทางคุณลูกค้าที่ดูมีท่าทีแปลกๆ เขายิ้มบางๆออกมาก่อนจะหันไปสนใจกับการจัดจานอาหารต่อ เมื่อเห็นว่าอาหารจานนี้น่าจะพร้อมเสริฟแล้วเขาก็ยกมันออกมาเดินตรงไปที่โต๊ะที่อยู่ไม่ไกล

“ได้แล้วนะ”

“ค…ครับ!”

เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยงเมื่อพบว่าอาหารถูกนำมาเสริฟ เขาไม่แม้แต่จะหันไปทางที่อีกคนยืนอยู่ ก้มหน้าก้มตามองออมเล็ตจานร้อนที่อยู่ตรงหน้าแทน

“ว้าว~ น่ากินเหมือนเดิมเลย ทานล่ะนะครับ!”

ว่าแล้วเจ้าตัวก็จัดการหยิบอาวุธขึ้นมาเตรียมพร้อมลงมือทาน

“หึๆ”

เอ๊ะ?

เขาค่อยๆเงยหน้าหันไปทางเจ้าของเสียงหัวเราะที่ดังขึ้น

“นายนี่ตลกดีนะ” คนที่ยืนอยู่หัวเราะเบาๆก่อนจะหันมาจ้องมองตอบ

ตากลมโตที่ช้อนมองไปจ้องค้างไม่กระพริบรู้สึกทำตัวไม่ถูกเมื่อคนข้างกายพูดออกมา

ข…เขาพูดล่ะ! ทักเราด้วย! ทำไงดี!

“หือ?”

คิ้วหนาเลิกขึ้นบอกเป็นเชิงสงสัย

“มีอะไรหรือเปล่า”

เด็กหนุ่มเรียกสติของตัวเองกลับมา

“อ๊ะ ป…เปล่าครับ”

ด้วยความตื่นเต้นเขาจึงรีบตักอาหารตรงหน้ากินอย่างว่องไวเพื่อหาทางเบนความสนใจ แต่หัวใจเจ้ากรรมดันเต้นรัวจนเขาแทบจะหายใจไม่ทัน

จะตื่นเต้นอะไรนักหนาเล่า!

จังหวะหัวใจยังคงยิ่งเต้นเร็วและรัวขึ้นเมื่อเขารู้ตัวว่าเจ้าของนัยน์ตาสีทองยังคงยืนอยู่ที่เดิมและมองมายังเขา

“เอ่อ…คือว่า”

“อ๊ะ ขอโทษทีนะ คงทำให้อึดอัดสินะ”

“เอ๊ะ เปล่าครับ! จะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง!”

“…?”

“ว…วันนี้ออมเล็ตก็อร่อยเหมือนเคยเลยนะครับ!”

“ฮ่าๆอย่างนั้นเหรอ ขอบใจนะ” ชายหนุ่มหัวเราะฉีกยิ้มกว้างออกมา

อุว้าาา เขายิ้มด้วยล่ะ

“นายน่ะ มาที่นี่เกือบทุกวันเลยสินะ”

“จำได้ด้วยเหรอครับ!”

“ฮ่าๆๆ ปกติร้านของฉันก็ไม่ได้มีลูกค้าประจำเยอะหรอกนะ”

“อ่า….”

“ขอนั่งด้วยได้หรือเปล่า” จู่ๆคนข้างๆเขาก็พูดขึ้นมา แต่ไม่ว่าเปล่าร่างสูงโปร่งก็ก้าวไปนั่งทางฝั่งตรงข้ามของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ดวงตาสีอำพันเบิกกว้างจ้องมองใบหน้าของคนตรงหน้า ผมสีน้ำตาลหยักศกถูกเสยไปด้านหลังทำให้เห็นรูปหน้าที่คมเข้มชัดเจน ดวงตาสีทองคู่สวยเป็นประกายระยับแข่งกับแสงแดด จมูกโด่งเป็นสันและปากกระจับงามได้รูป…

เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดๆ

เขาหยุดทุกการกระทำจ้องมองอีกฝ่ายเหมือนพยายามเก็บเกี่ยวภาพของใบหน้าคมเข้มนั่นให้ได้มากที่สุด

“นี่…”

“…..”

“โฮ่ย”

“…..”

“จะเลอะเอานะ”

“อ๊ะ เอ๊ะ!!! เหวอ!”

สิ่งที่อยู่บนช้อนของเขาเมื่อครู่ร่วงลงใส่เสื้อของเขาเองจนเลอะเทอะ

ตายล่ะหว่า!

“จริงๆเลยนะ…”

มือใหญ่เอื้อมหยิบทิชชู่จากอีกด้านหนึ่งของโต๊ะ ใบหน้าคมเข้มที่ถูกจ้องมองเมื่อครู่ค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้ คิ้วมุ้นเข้าหากันก่อนจะบรรจงใช้ทิชชู่ช่วยเช็ดรอยเปื้อนให้เด็กหนุ่ม

“!!!!”

พวงแก้มแดงระเรื่อ หัวใจพองโต เต้นเร็วจนแทบจะหลุดออกมาจากอก ตากลมจดจ้องการกระทำของอีกฝ่าย มือไม้แข็งทื่อ ร่างกายสั่นเทาทำอะไรไม่ถูก

“ไปล้างในห้องน้ำหน่อยไหม”

ตาเรียวช้อนมองก่อนจะชะงักไปชั่วขณะเมื่อเห็นท่าทีที่แปลกไปของอีกฝ่าย

หน้าแดงเชียว…

เมื่อเด็กหนุ่มเห็นอย่างนั้นเขาจึงรีบเรียกสติของตัวเองกลับมาได้

เฮือก! ตกใจลุกขึ้นยืนกะทันหัน แต่ร่างกายดันไม่ทำตามคำสั่งขาอ่อนยวบเสียสมดุลทำให้หงายหลังตกเก้าอี้ไป

ปึง!

“โอ๊ย เจ็บ”

“เป็นอะไรหรือเปล่า!” คนตัวโตกว่าตกใจหน้าตื่นเมื่อเห็นอีกฝ่ายล้มลงก้นจ้ำเบ้า

น่าอายชะมัด!

“ขอโทษครับ!”

เสียงใสตะโกนลั่น คนที่เพิ่งล้มลงไปลุกขึ้นมาอย่างว่องไว ไม่รอช้าเขารีบก้มหลังเป็นการขอโทษอีกครั้ง

“ขอโทษที่ทำให้วุ่นวายครับ!”

เขาแผดเสียงดังลั่นมองผลงานที่ตัวเองก่อขึ้น ด้วยความรู้สึกผิดและอับอายอย่างถึงที่สุดเขาจึงตัดสินใจวิ่งหนีออกจากร้านไป

“โฮ ไม่น่าเลย!”

….

..

อะไรกัน…

คนที่ถูกทิ้งไว้งุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่ได้นึกไม่พอใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่ หากแต่ว่าไม่เข้าใจการกระทำของเจ้าหนูที่เพิ่งวิ่งออกไปเสียมากกว่า

“กระเป๋า…” สายตาเหลือบไปเห็นกระเป๋านักเรียนที่วางอยู่บนโต๊ะ

เจ้าของคงมีคนเดียวเท่านั้นเพราะทั้งร้านมีเพียงแค่เขาและคนๆนั้น

“จริงๆเลยนะ แล้วทีนี้จะทำอย่างไรล่ะ”

มือหนาลูบคออย่างช่างใจก่อนความคิดบางอย่างจะแล่นเข้ามา

“ขออนุญาตนะ”

เขาเปิดกระเป๋าออกและพบว่าในกระเป๋านั้นไม่ได้มีสิ่งของอะไรมากนัก

นี่คือกระเป๋านักเรียนสมัยนี้เหรอ…

จากนั้นเขาก็พบบางอย่างที่คาดว่าน่าจะมีประโยชน์ สมุดพกนักเรียนเล่มเล็กถูกเปิดออก

“ซาวามูระ…เอย์จุน? ม.ปลายปี2 โรงเรียน…”

พออ่านข้อมูลเสร็จรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นเมื่อสายตาเลื่อนไปเห็นบางสิ่ง

“หึๆ เป็นเด็กที่ทำให้ฉันหัวเราะได้ด้วยเรื่องง่ายๆดีแฮะ”

สิ่งที่เขาจ้องมองอยู่คือรูปบนสมุดพก…เจ้าหนูซาวามูระ เอย์จุนที่กำลัง…ฉีกยิ้มกว้างจนแก้มปริเห็นไรฟัน

ตลก…

เราคงได้เจอกันอีกล่ะนะ ซาวามูระคุง

.

.

.

***To be continue***

0

[AU Daiya no A] My sunflower…

Chris’s side : My sunflower

600-2_5

วิวข้างทางเต็มไปด้วยพืชพันธุ์และทิวเขา แม้ยามนี้แสงแดดจะแรงกล้าแต่มันกลับไม่ได้ทำให้เหล่าต้นไม้ใบหญ้าสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย เหล่าแมลงยังคงทำงานกันอย่างแข็งขัน บินกันขวักไข่ว มองเล่นๆก็ดูเพลินตาดี

เมื่อเปิดหน้าต่างจะสัมผัสได้ถึงลมเย็นที่พัดมากระแทกหน้าผิดกับสภาพอากาศที่เป็นอยู่ พอสูดลมหายใจลึกๆก็จะได้กลิ่นหญ้าที่ทำให้รับรู้ถึงความเป็นธรรมชาติของที่นี่ได้ดี

“ว้าว~”

“โฮ่ยอยู่เฉยๆหน่อยสิ”

“ดูสิๆดอกไม้สีสวยเต็มไปหมดเลย แมลงปอก็ตัวใหญ่บะเริ่ม!”

เสียงใสเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางที่ดูตื่นเต้น นัยน์ตาสีอำพันเบิกกว้างทอแสงวาววับ เจ้าตัวสอดส่องไปมาพยายามชื่นชมกับวิวทิวทัศน์ข้างทาง

“เอย์จุนไม่เคยไปเที่ยวไกลๆเลยสินะ”

เสียงของคุณลุงที่นั่งอยู่ไม่ไกลเอ่ยขึ้นก่อนเขาจะเบนความสนใจจากภาพด้านหน้าและหันมายิ้มให้กับเจ้าตัวเล็กที่ตั้งแต่ขึ้นรถมาก็ยังคงอยู่ไม่สุข

“อื้อ! ครั้งแรกล่ะ!” 

เอย์จุนยิ้มกว้างพลางปีนป่ายไปทั่วเบาะด้านหลังด้วยความตื่นเต้น

“บอกให้อยู่นิ่งๆไงเล่า เป็นลิงหรือยังไง!”

“ก็มันอยากดูนิ! งั้นคาซึก็ให้เอย์จุนนั่งริมสิ!”

เด็กชายตวัดสายตาใต้กรอบแว่นจ้องมองน้องเล็กของตัวเองด้วยท่าทางหงุดหงิด

“ไม่!” พูดจบเขาก็เมินหันไปทางหน้าต่างมองวิวทิวทัศน์ข้างทางแทน

“คาซึขี้งก!” แก้มสีชมพูอ่อนๆของเด็กน้อยพองขึ้นแต่มันไม่ได้ช่วยเรียกร้องความสนใจจากคนข้างตัวได้เลย

หากแต่ว่าเจ้าของดวงตาสีทองที่นั่งอยู่ริมอีกฝั่งหนึ่งยังคงจับจ้องทุกอิริยาบถของทั้งคู่ เขาหัวเราะเบาๆให้กับภาพตรงหน้า และยิ้มบางๆให้กับน้องชายทั้งสอง

“เอย์จุนมานี่สิ”

คริสกวักมือเรียกน้องชายให้มาหาเขา

“ยู~”

ตากลมจ้องมองพี่ชายคนโตพร้อมยิ้มออกมา เอย์จุนขยับตัวเข้าไปหาและถือวิสาสะขึ้นไปนั่งบนตักของพี่ชายโดยไม่ถามความเห็น

“โอ๊ะ! จริงๆเลยนะเรา”

“ฮี่ๆ”  

เจ้าเด็กน้อยส่งยิ้มกว้างให้อีกคนแทนที่จะตอบอะไร คริสยิ้มน้อยๆให้กับท่าทีนั่น

เขาค่อยๆขยับตัวให้ท่านั่งสบายขึ้นและหันไปชมวิวทิวทัศน์ข้างทางไปพร้อมกับเจ้าน้องเล็กของเขา เอย์จุนดูตื่นเต้นกับทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในสายตาย ปากน้อยๆทั้งอุทานและพูดชื่นชมธรรมชาติไม่หยุด

เป็นเด็กที่ยิ้มง่ายจริงๆเลยนะ…เรื่องธรรมดาๆก็ตื่นเต้นกับมันได้ บางทีแค่ได้มองดูการกระทำของเด็กคนนี้ก็ทำให้ฉันรู้สึกสนุกไปด้วย

พอรู้ตัวอีกทีคริสก็ได้แต่มองเจ้าตัวเล็กบนตักเขาจนลืมทุกสิ่งรอบตัว

“ยู….ยู!”

“หือ?”

“ดูนั่นสินกล่ะ นกตัวใหญ่มากๆเลย ”

“เอ๊ะ? อ่อนั่นนกอินทรีย์น่ะ”

“นกอินทรีย์! คุณนกอินทรีย์ๆ!”  

เอย์จุนโบกมือไปมาเหมือนพยายามทักทายเจ้านกที่โบยบินอยู่บนท้องฟ้า

“ถ้าบินไปที่ไหนก็ได้ไกลๆแบบนั้นบ้างก็ดีสินะ~”

เขาพูดออกมาลอยๆพลางเหม่อมองท้องฟ้าอยู่อย่างนั้น ในใจของเขาคงไม่ได้คิดอะไรนัก แต่สิ่งนั้นกลับทำให้คนข้างกายถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ

“อยู่อย่างนี้ก็ดีแล้ว…”

“หือ?”

“…..”

คริสยิ้มบางๆมองไปทางน้องของเขาที่หันมาจ้องตาปริบๆ เหมือนเขาจะหลุดคำพูดแปลกๆบางอย่างจนทำให้น้องสงสัยจึงตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา

“ใกล้ถึงแล้วล่ะ เอย์จุนทาครีมกันแดดหรือยัง ต้องทาก่อนออกจากรถนะ”

“เอ๋…ยังเลย ต้องทาด้วยเหรอ?”

“อือ แดดมันแรงนะ ถ้าเอย์จุนไม่ทาผิวจะแสบเอา เดี๋ยวพี่ทาให้นะ”

“ก็ได้!”

เจ้าตัวเล็กตอบรับอย่างง่ายดายพร้อมหันมายื่นแขนส่งให้ คริสค่อยๆบรรจงทาครีมกันแดดลงบนผิวเด็กน้อยอย่างเบามือ

ไม่ว่าส่วนไหน…ก็ดูบอบบางจนเหมือนจะแตกหักได้ง่ายๆ

“พีคริสครับ ผมขอครีมบ้าง”

เสียงจากคนที่อยู่ไม่ไกลนักดังขึ้น ทำให้เขาหลุดจากพะวัง

“ได้สิ”

เขายื่นขวดครีมให้คาซึยะ แต่มันดันไม่ถึงมือเจ้าตัวเสียนี่…

“มา! เอย์จุนจะทาครีมให้คาซึเอง!”

ไม่ว่าเปล่าเจ้าน้องเล็กฉีกยิ้มกว้างกระโจนเข้าหาพี่ชายแปะป้ายครีมไปตามจุดต่างๆจนเลอะเทอะ

“เหวอ! เอย์จุน! ทำบ้าอะไรเนี่ย แบบนี้มันเรียกทาครีมที่ไหน”

“ฮี่ๆต้องโปะเยอะๆ”

“เอย์จุน”

“เอาน่ะๆ อย่าทะเลาะกันสิฮ่าๆ ถึงแล้วนะ ลงกันเถอะ”

เป็นพี่คนโตที่หยุดสงครามขนาดย่อมไว้ เมื่อน้องทั้งสองได้ยินดังนั้นสายตาก็เลื่อนมองไปทางหน้าต่าง

บ้านไม้หลังเล็กถูกล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่ พื้นที่ด้านหน้ามีเหลือเฟือเหมาะแก่การใช้สำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง เมื่อเปิดประตูรถออกมาก็จะได้กลิ่นแดดและกลิ่นดอกไม้อ่อนๆที่มาจากทางหลังบ้าน

“ว้าว~”

“พี่คริสรีบมาดูนี่สิ!”

“อือ”

เมื่อเดินไปยังด้านหลังของบ้านพักไม่ไกลนักก็จะพบกับทุ่งดอกไม้สีเหลืองอร่ามแผ่กว้างไปสุดลุกหูลูกตา น่าแปลกที่ทุกดอกพร้อมใจกันหันหน้าไปทางทิศเดียวกัน ซึ่งเป็นทิศทางที่แสงอาทิตย์ที่ยังคงเจิดจ้าอยู่สาดส่องลงมา ใช่แล้ว…มันคือดอกทานตะวันนั่นเอง

“สูงจัง!”

เอย์จุนเงยหน้ามองดอกทานตะวันใกล้ตัว ตาโตวาวระยับ พยายามเอื้อมมือไปหวังจะจับกลีบดอกที่อยู่เหนือหัวของเขา

ฟึบ…

“เอ๋?…ยู~”

คนตัวสูงกว่าอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นจากด้านหลัง พอเห็นใบหน้ายิ้มแย้มที่หันมาเรียกชื่อเขาก็รู้สึกชื้นใจอย่างบอกไม่ถูก

“ดอกทานตะวันน่ะ เพิ่งเคยเห็นของจริงสินะ”  เขายิ้มตอบ

“อื้อ!”

ดวงตาสีอำพันคู่สวยกระทบแสงสะท้อนเป็นประกาย ตาโตจ้องมองดอกไม้ตรงหน้าอย่างขมักเขม่น

เหมาะกันจริงๆเลยนะ…ดอกทานตะวันกับนายน่ะ

พอได้ชื่นชมดอกไม้กันสักพัก คุณแม่ของเขาก็ตะโกนเรียกจากทางหน้าบ้านพัก

“เด็กๆจ๊ะ มาช่วยกันจัดของให้เรียบร้อยก่อนเร็ว จะได้หาอะไรทานแล้วค่อยออกไปเล่นกันนะจ๊ะ”

“คร้าบ~” ทั้งสามคนพร้อมเพรียงกันตอบและกลับเข้าไปยังบ้านพัก

 

————————————————————-

 

“คาซึ! ยู! กินเร็วๆเข้าสิเอย์จุนจะเสร็จแล้วนะ อยากรีบออกไปเล่นแล้ว!“

“ถ้านายรีบนักก็ออกไปเล่นคนเดียวก่อนสิ ทำเป็นตื่นเต้นไปได้”

เป็นพี่คนรองที่พูดขึ้นมาแม้จะโดนเจ้าน้องเล็กเร่งเขาก็ยังคงนั่งทานข้าวอย่างเนิบๆไม่รีบร้อนอะไร

“อย่ารีบนักสิเอย์จุนเดี๋ยวอาหารจะติดคอเอานะ”  คนที่นั่งอยู่ข้างกายพูดขึ้นมา

“ยูไม่ต้องเป็นห่วง! เอย์จุนกินเก่งอยู่แล้วสบายมาก! ง่ำๆ”

มันไม่น่าเกี่ยวนะฮ่าๆๆ

เขายิ้มบางๆ นัยน์ตาสีทองจับจ้องทุกอริยาบถของเจ้าตัวน้อยด้วยความเอ็นดู พอเห็นเด็กน้อยกินจนเลอะเทอะก็อดนึกขำเป็นไม่ได้

“หึๆ เลอะหมดแล้วนะ”  ว่าพลางเอาผ้าเช็ดปากให้

“แค่กๆ อึก!”

“เอย์จุน!”

อาจจะเพราะพูดไปด้วยทานไปด้วยจึงทำให้เขาสำลักอาหารที่ทานไปคริสตกใจมากรีบลูบหลังน้องหาน้ำให้ดื่ม

“อึก…”

เอย์จุนหันหน้ามาทางเขาจ้องมองเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่างแต่มือเล็กดันปิดปากแน่น พอสังเกตจึงเห็นว่าแก้มป่องๆที่เหมือนตุนอะไรไว้กำลังมีทีท่าว่าจะระเบิดในไม่ช้า คนที่นั่งห่างออกไปรีบวางทุกอย่างลุกลี้ลุกลนควานหาบางอย่าง เขารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป…

“เฮ้ย! พี่คริสหลบครับ”

“เอ๊ะ!?”

คริสตกใจมากเมื่อโดนคาซึยะดึงตัวให้เอนออกจากที่ที่นั่งอยู่ เขาเห็นเพียงแค่กลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนที่เคลื่อนเข้ามาอย่างไว…พร้อมกับหมวก?

“อุ๊ก! อร่อกกก แหวะ….”

“……”

“แหวะ แค่กๆ”

“……”

“แหะๆ ออกมาหมดเลย”  เด็กน้อยยิ้มเจือนหัวเราะเบาๆหลังจากปลดปล่อยทุกอย่างออกมา

“ตายล่ะอวกออกมาตั้งขนาดนี้… เห็นไหมพี่บอกแล้วว่าอย่ารีบกิน”

คริสเหงื่อตกทันทีที่เห็นสภาพน้องเล็กของเขา จากนั้นจึงเหลือบไปมองน้องชายอีกคนที่บัดนี้นอนราบอยู่บนตักของเขาพร้อมกับถือหมวกที่เต็มไปด้วย—-แน่น

“คาซึยะ…”

“……”

“ขอบใจนะ”

“ไม่เป็นไรครับ”

“หมวกนาย…”

“ม…ไม่เป็นไรครับ แค่พี่คริสไม่เลอะก็ดีแล้วครับ”

คนที่นอนแผ่ไม่เป็นท่าอยู่ค่อยๆยันตัวลุกขึ้นมา จ้องมองหมวกสุดโปรดของตนก่อนเบือนหน้าหนีทันทีเพราะรับไม่ได้กับสภาพของมัน

“ผมขอเอาไปทิ้งก่อนนะครับ”

“อ…อื้ม”

ขอโทษนะคาซึยะ…

“เอย์จุน…เราไปห้องน้ำกันเถอะนะ”

“อ…โอ้!”

ว่าแล้วเขาก็จูงมือเด็กน้อยไป แต่ไม่ทันจะเดินออกจากห้อง…

“คาซึ! ขอบใจนะ! ฮี่ๆ”

“อ…เอย์จุน”  คริสได้ทำหน้าเจือนเมื่อเห็นเด็กน้อยที่แสดงท่าทีไร้เดียงสาออกมา

“……”  คนได้รับคำขอบคุณยังคงเงียบ

“เอย์จุนรีบไปทำความสะอาดกันเถอะนะ”  เขายิ้มให้น้อง ตอนนี้เขานั้นรู้ดีว่าควรพาเจ้าตัวเล็กออกจากตรงนี้

จากนั้นทั้ง2ก็มุ่งหน้าไปยังห้องน้ำและปล่อยให้เด็กชายได้อยู่คนเดียว…

“อึก…หมวก…ฉัน…ไอ้เด็กบ้า!”

.

.

.

.

“วันหลังไม่รีบกินแบบนี้อีกนะ มันไม่ดีนะรู้ไหม ถ้าเกิดสำลักหายใจไม่ออกจะทำยังไง” คนตัวโตกว่าว่าพลางเอาน้ำล้างหน้าล้างตาให้น้อง

“แต่เอย์จุนอยากรีบไปเล่นนิ!”  เจ้าตัวเล็กยังคงตะเบงเสียงแข่งได้แม้ว่าเมื่อตะกี้จะเพิ่งเกิดเรื่องไป

“เฮ้อ…วันหลังถ้าเอย์จุนรีบกินพี่จะไม่เล่นด้วยแล้วล่ะนะ”  คริสแกล้งทำหน้าเหนื่อยใจ เหล่มองคนตรงหน้าว่าจะตอบอย่างไร

“เอ๋!!!”

หึๆ…

“…..”

“ก…ก็ได้ วันหลังเอย์จุนจะค่อยๆกิน”  เด็กน้อยเม้มปากแน่นจ้องมองพี่ชายด้วยสายตาเว้าวอน

“ฮ่าๆดีมากเด็กดีนะ”  

คริสลูบหัวน้องชายของเขาเบาๆอย่างอ่อนโยน เอย์จุนยิ้มกว้างดีใจที่ได้รับคำชม

“งั้นเดี๋ยวเราออกไปเล่นกันนะ”

“อื้อ!”

 

————————————————————-

 

อากาศช่วงบ่ายดูเหมือนจะเริ่มร้อนน้อยลงบ้างแต่พระอาทิตย์ยังคงทอแสงแรงกล้า บรรยากาศเงียบสงบผิดกับจำนวนสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ ต้นไม้ใบหญ้าไหวไปลมอ่อนๆ สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยวิ่งไปมาพยายามหาที่หลบแดด

“เย้~”

เด็กน้อยแผดเสียงดัง ฉีกยิ้มกว้างท้าแสงแดด ท่าทางตื่นเต้นกับการผจญภัยที่กำลังจะมาถึงจนรีบวิ่งออกมาจากตัวบ้านก่อนใครเพื่อน

“อย่าไปไหนไกลนักนะจ๊ะ”

“คร้าบ~”

“อ่าวคาซึจังแล้วหมวกลูกไปไหนแล้วล่ะ”

“เอ่อ….”

คาซึยะได้แต่อ่ำๆอึ้งๆ

“ผมไม่อยากใส่น่ะครับ”

“เอ๋….เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะ”  คุณแม่ทำท่าเป็นห่วง

ก็หมวกมันใส่ได้ที่ไหนล่ะ….เขาเหล่มองเจ้าน้องเล็กที่ยังคงวิ่งไปมาไม่หยุดด้วยความเจ็บใจ

ถ้าไปใส่อารมณ์กับหมอนี่อีกคงทำให้พี่คริสลำบากใจอีกแน่ๆ

สายตาที่มองไปนั้นดันไปประสานเข้ากับเจ้าเด็กที่เขาเพิ่งกล่าวถึง

“มองอะไร! รีบไปกันได้แล้ว!”

ไอ้หนูนี่….

เด็กน้อยเบิกตาโตจ้องมองผู้พี่ เมื่อจับใจความบทสนทนาได้เขาจึงค่อยๆเดินกลับเข้ามา

“เห~คาซึไม่มีหมวกเหรอ”

ก็เออน่ะสิ เพราะใครเล่า

“งั้นเอาของเอย์จุนก็ได้นะ! เมื่อกี้หมวกคาซึเลอะเพราะเอย์จุนนิ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็วิ่งเข้ามาหาพร้อมยื่นหมวกให้

“แหมคาซึจังปกป้องน้องเหรอจ๊ะเนี่ย เป็นพี่ที่ดีจัง คิกๆ”

“เปล่าสักหน่อย…”

“เอ้า เอาไปใส่สิ!”

“ไม่เอา”  คาซึยะกอดอกทำเป็นไม่สนใจ

“เรื่องมาก!”  เอย์จุนเขย่งตัวกระโดดจัดการเอาหมวกของตัวเองสวมให้พี่ชายอย่างลวกๆ แล้ววิ่งหนีออกไป

“ฮ่าๆๆเอย์จังนี่รักพี่ชายจังนะ”  คุณแม่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“เจ้าบ้าเอาคืนไปฉันไม่อยากใช้หมวกของนาย!”  คาซึยะโวยวาย

“เอาน่ะๆอย่าให้เป็นเรื่องใหญ่เลยนะ เอย์จุนอุส่าห์ขอบคุณในแบบของเขาล่ะนะ”  คริสพูดขึ้นมา

“แต่ว่า!”

“คาซึจังเป็นห่วงน้อง กลัวน้องไม่มีหมวกใส่กันแดดสินะ~”  คุณแม่ของเขายังคงเข้าใจว่าเขาเป็นพี่ชายที่ดี(มากๆ)อย่างเคย

“ชิ!…ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย!”

“ใส่เถอะนะ”

เขาหันไปมองพี่ชายพี่พูดและยิ้มให้เขา แววตาสีทองจ้องมองมาทางเขา จนรู้สึกได้ถึงแรงกดดัน

เรียวตาใต้กรอบแว่นเพ่งพินิจดูหมวกฟางปีกกว้างที่เขาไม่ค่อยจะคุ้นเคยกับการสวมใส่มันนัก

“เฮ้อ…ก็ได้ครับ”

พอเห็นอย่างนั้นคริสก็ยิ้มดีใจที่น้องชายทำตาม

“แล้วเจ้าหนูจะไม่เป็นอะไรเหรอครับ…”

“ไม่เป็นไรหรอก”

ว่าเสร็จพี่ชายของเขาก็เดินตรงไปยังเจ้าหนูที่พูดถึง

“เอย์จุน”

พอได้ยินเสียงเรียกของพี่ชายคนโตเจ้าหนูจึงรีบวิ่งเข้ามาหา หยุดมองเป็นเชิงสงสัยว่ามีอะไร

คริสยิ้มให้และจับหมวกของเขาใส่ให้น้องแทน

“ฉันไม่ชอบใส่หมวกน่ะ ไปกันเถอะ”

ว่าแล้วเขาก็จูงมือเอย์จุนเดินออกไป คาซึยะเห็นดังนั้นก็นิ่งเงียบไปชั่วขณะแต่ตัดสินใจไม่พูดอะไรและออกเดินตาม ทิ้งให้คุณแม่ที่มองดูเหตุการณ์อยู่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข

“เป็นพี่น้องที่รักกันดีจริงๆนะ…”

.

.

.

.

.

“8~ 9~ 10~….เอาหรือยัง~”

“….”

“เอาเลยนะ~”

“….”

“คาซึ~ ยู~ อยู่ไหนนะ”

เจ้าตัวเล็กเดินเยื้องย่างออกจากต้นไม้ใหญ่ที่ตนอยู่เมื่อครู่ สายตาสอดส่องไปทั่วพยายามหาพี่ชายทั้งสองที่บัดนี้ไม่สามารถรู้ได้ว่าไปซ้อนอยู่ที่ไหน

รอบตัวนั้นถูกรายล้อมไปด้วยดอกทานตะวัน มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีเขียวแซมสีเหลืองเต็มไปหมด

“อยู่ไหนกันนะ”

เอย์จุนค่อยๆเดินแหวกไปในทุ่งดอกทานตะวันเพื่อควานหาทั้งสอง ใจตุ้มๆต่อมๆกลัวว่าจะมีใครมาจ๊ะเอ๋เขาจากด้านหลัง

แสกๆ

ส…เสียงอะไร

เจ้าตัวหยุดเดินค่อยๆย่อตัวลงและหันไปทางตนเสียง

ฟุบ!

“ใครน่ะ!”

เขาร้องถามกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะค่อยๆคลานไปตรงจุดนั้นด้วยความสงสัย

“อยู่ตรงนี้เหรอ”

มือเล็กแหวกทางออกยื่นหน้าเข้าไปดู

“จ้ากกกกก!”

เสียงใสแผดเสียงดังลั่นด้วยความตกใจ

“เอย์จุน!”

เมื่อพี่ชายทั้งสองได้ยินเสียงน้องเล็กพวกเขาจึงออกจาหที่ซ่อนรีบวิ่งหาต้นเสียงอย่างเร่งรีบจนลืมไปว่ากำลังเล่นซ่อนหากันอยู่

“แฮ่กๆ เอย์จุนเป็นอะไรหรือเปล่า”

“อ่าว…ยู โป้ง!”

“ห….ห๊ะ?”

“เอย์จุน! อ่าวนี่มันอะไรกันครับ…”

ภาพตรงหน้าที่คริสและคาซึยะเห็นคือ…

“ฮ่าๆๆอยู่เฉยๆสิ”

“โฮ่ง!”

น้องของเขาและ…สุนัข?

“จู่ๆเจ้านี่ก็กระโจนออกมาน่ะฮ่าๆๆ” เด็กน้อยอธิบายพลางหัวเราะยกใหญ่

“เฮ้อ…นึกว่าอะไร” คริสถอนหายใจเฮือกใหญ่

“เจ้าบ้า…”  คาซึยะไม่รอช้าแสกเข้าที่กลางหัวของน้องเขา

“อ๊ะ! อะไรเล่า!”

“…..”

เอย์จุนจ้องเขาเขม่งแต่คนตรงหน้าไม่ตอบ คริสนั่งยองๆยีผมน้องเล็กของเขา

“พี่ตกใจหมดเลยรู้ไหม”

“เอ๋? ก็แค่เจ้าหมามันกระโจนออกมาเอง”

“ฮ่าๆเอาเถอะ”

ไม่เกิดอะไรขึ้นก็ดีแล้ว…

เขาเอื้อมมือไปลูบหัวเจ้าสุนัขเบาๆ

“โฮ่ง!”

สักแปบมันก็กระโดดออกจากอ้อมแขนของเอย์จุนและวิ่งจากไป

“อ่าวไปแล้วเหรอ…”

“มันมาจากไหนกัน”  เป็นคาซึยะที่กล่าวขึ้นมา

“ไม่รู้สิ แต่ว่า….เอย์จุนโป้งยูแล้วนะ! ครั้งนี้ยูเป็นล่ะ ฮี่ๆ”  เด็กน้อยยิ้มกว้างจนเห็นไรฟันเหมือนทุกอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เอ๋…อ่านั่นสินะ”

“โธ่พี่คริสครับ ไม่เห็นต้องเป็นเลย นี่มันโกงกันชัดๆ”

“ว่าอะไรนะ!”  คนที่ถูกหาว่าโกงรีบแยกเขี้ยวใส่

“ฮ่าๆเอาน่ะๆ เล่นต่อเถอะนะ พี่จะเป็นล่ะ”  

คาซึยะยู่หน้าจ้องน้องชายกลับ แต่เห็นพี่ชายว่าอย่างนั้นจึงเดินแยกไปไม่ต่อล้อต่อเถียงต่อ

“อะไรของเขา…”  เอย์จุนงุนงงกับท่าทีของคนที่เพิ่งเดินจากไป

จริงๆเลยนะ…

“เอย์จุนเตรียมไปซ่อนได้แล้วนะ เดี๋ยวพี่จะนับล่ะ”  คริสว่าและเลื่อนมือมาปิดตาตัวเองพลางนับเลข

“1…2…”

“อ๊ะ! เดี๋ยวสิ!”

เจ้าตัวเล็กลุกลี้ลุกลนรีบวิ่งออกไป

“แฮ่กๆ ซ่อนที่ไหนดีเนี่ย คาซึก็ไม่รอเลย”

เอย์จุนวิ่งไปทั่วแต่ไม่เจอที่ซ่อนดีๆสักที จนกระทั้งเขาสังเกตเห็นบ้างอย่าง…

“ที่นี่ล่ะ!”

.

.

.

.

“เอาหรือยัง~”

“….”

“เอาล่ะนะ”

คริสออกเดินไปทางที่เขาคิดว่าน่าจะหาน้องๆของเขาพบ

“หวังว่าจะไม่ไปกันไกลนะ”

เขาใช้เวลาอยู่สักพักใหญ่และยังคงหาใครไม่เจอ

“สงสัยฉันจะไม่เก่งเรื่องหาคนซะแล้วสิ”

ดวงตาสีทองสาดส่องไปทั่ว ส่วนสูงของเขาโผล่พ้นดอกไม้หลายๆดอก พอเขย่จึงมองเห็นทางข้างหน้าได้บ้าง

“แดดยังไม่หมดอีกเหรอเนี่ย ร้อนจัง”

และแล้วเขาก็สังเกตเห็นบางอย่าง

“หืม?”

หมวกฟาง?

“ฮ่าๆเจอแล้ว ใช่หรือเปล่านะ”

ตัดสินใจเดินตรงไปยังจุดนั้น  แต่สิ่งที่เขาพบกลับเป็นเพียงแค่หมวกฟางที่วางไว้บนดอกไม้

แปะ!

“เอ๊ะ!”

“ฮ่าๆพี่คริสนี่หลอกง่ายดีนะครับ”

“คาซึยะ…โธ่โดนซะแล้ว”

คิ้วหนามุ่นเข้าหากันให้ไปจ้องหน้าอีกฝ่าย

“นายนี่มันจอมวางแผนจริงๆเลยนะ”

“ไม่เท่าพี่คริสหรอกครับ ฮ่าๆ”

“ว่าแต่เห็นเอย์จุนบ้างหรือเปล่า”

“ไม่นะครับ รายนั้นยิ่งซ่อนเก่งด้วยสิ ผมว่าตะโกนเรียกออกมาเลยดีกว่า”

“นั่นสินะ”

“โฮ่ย! เอย์จุนออกมาได้แล้ว”

“……”

“เอย์จุน”

“โฮ่ยยย”

“…..”

“สงสัยไม่ได้อยู่แถวนี้แน่เลย แยกกันไปหาเถอะ”

“ได้ครับ”

พอตกลงกันเสร็จทั้งคู่จึงแยกย้ายกันหา ตะโกนเรียกบ้าง เรียกหาบ้าง แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆ แม้จะลองควานหาก็ไม่เห็นแม้แต่เงา เวลาล่วงเลยผ่านไปนับชั่วโมง แสงอาทิตย์อันแรงกล้าที่สาดส่องไปทั่วทุ่งทานตะวันในตอนแรกบัดนี้เริ่มอ่อนกำลังลง ดอกทานตะวันที่เบ่งบานรับแสงแดดเริ่มหุบลงเข้าสู่ห้วงนิทรา เหล่าแมลงกลางคืนเริ่มออกบินขวักไข่วสวนทางกับนกน้อยที่บินกลับรัง

 

แย่ล่ะ…เอย์จุนหายไป

“เอย์จุน”

อยู่ไหนกัน

“เอย์จุนไม่เล่นแล้วนะ”

ช่วยตอบทีเถอะ..

“ฮึก…เอย์จุน อยู่ไหน!”

แฮ่ก…แฮ่ก…. ผิวขาวเริ่มซีดลง แก้มชมพูอ่อนกลับกลายเป็นสีแดงระเรื่อ เหงื่อไหลโทรมกาย เขาเริ่มเหนื่อยหอบ สายตาพร่ามัว รู้สึกอึดอัดร้อนรุ่ม สับสนไปหมด หัวสมองของเขาเริ่มสั่งการช้าลงเรื่อยๆ ความคิดความอ่านกำลังจะหยุดลง

แต่สิ่งที่เหลืออยู่ในหัวของเขาตอนนี้ยังคงมีเพียงแต่ภาพน้องชายของเขา

‘เอย์จุน’

‘เอย์จุน’

‘เอย์…’

“พี่คริส!”

.

.

.

.

.

.

.

….ยู

เอย์จุน?

“เอย์…”

“…..”

“เอย์จุน”

“…..”

เฮือก! พรึบ!

“แฮ่กๆๆ”

ร่างของเด็กชายที่นอนสงบอยู่เมื่อสักครู่ลุกขึ้นมาด้วยอาการตื่นตกใจ ผิวขาวถูกปกคลุมไปด้วยเม็ดเหงื่อ ใบหน้าแดงกล่ำ อกเล็กกระเพื่อมรัวไปตามจังหวะของการหายใจที่เร็วผิดปกติ แต่น่าแปลกที่รู้สึกว่าเนื้อตัวนั้นเย็นไปหมด

นัยน์ตาสีทองค่อยๆปรับความชัดของภาพตรงหน้า พอสติเริ่มกลับคืนมาเขาจึงค่อยๆมองรอบๆตัวเอง มือที่อ่อนแรงรู้สึกถึงความเปียกชื้นของวัตถุบางอย่าง

ผ้า? เกิดอะไรขึ้น

“แหม…ตื่นมาก็เรียกหาเอย์จุนก่อนเลยนะครับ”

“…..”

คนที่อยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงเขาไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นน้องรองของเขานั่นเอง คริสหันไปมองคาซึยะด้วยสายตาที่เลื่อนลอยก่อนจะมองไปรอบๆห้องและพบว่าไม่มีใครคนอื่นอีกเลย พอมองออกไปทางหน้าต่างสิ่งที่เห็นคือท้องฟ้าที่มืดมิด เงียบ…

มันไม่ใช่ความฝันสินะ…

ดวงตาสีน้ำตาลใต้กรอบแว่นจ้องมองผู้พี่ด้วยความรู้สึกที่ปะปนกัน

“ยังไม่เจอครับ ตอนนี้คุณพ่อและคุณแม่กำลังพยายามติดต่อเจ้าหน้าที่อยู่”

ผู้ฟังถึงกับเบิกตาโต  ถึงจะพอเดาคำตอบไว้ในใจแล้วแต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการรับรู้

“เอย์จุน”  

คริสขย้ำผ้าเปียกที่อยู่ในมือจนน้ำหยดนอง ร่างกายสั่นเทาไปหมด ขอบตาร้อนผ่าว เขาพยายามกดกลั่นอารมณ์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

แต่แล้วเสียงโหวกเหวกก็ดังขึ้นจากอีกฟากของประตูห้อง ทั้งสองไม่รอช้ารีบลุกขึ้นเดินเปิดประตูออกไปคิดว่าสิ่งที่คาดหวังจะเกิดขึ้น

“ฮือออ”

“…..”

คุณแม่ร้องไห้!? ทั้งสองตกใจมากเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้เธอ

เกิดอะไรขึ้น…มันไม่ใช่เรื่องไม่ดีใช่ไหม

ทั้งสองเดินเข้าไปใกล้ มีลุงคนหนึ่งกำลังยืนคุยอยู่กับคุณพ่อ ไม่มั่นใจนักว่าเป็นใคร

แต่แล้ว…เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาขัดความคิดทั้งหมดทั้งปวง

“โอ๊ส! กลับมาแล้ว!” เสียงใสดังขึ้นท่ามกลางความสับสน เด็กชายผู้มาเยือนฉีกยิ้มกว้างยกมือขึ้นตะเบ๊ะทักทาย พี่ชายทั้งสองยังคงอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“…..”

“ฮ่าๆๆๆผมตกใจแทบแย่เลยล่ะครับ จู่ๆก็พบว่ามีเจ้าหนูจากไหนไม่รู้มาหลับอยู่หลังกระบะ ถ้าเจ้าชิโระไม่เห่าจนลูกของผมเรียกให้ลงจากรถไปดูคงได้พาเจ้าหนูนี่ขึ้นเขาไปด้วยแน่ๆ”

“เอย์จังงง ไม่เป็นอะไรตรงไหนใช่ไหมลูก น้าเป็นห่วงแทบแย่”

“อื้อ! ไม่เป็นไร เอย์จุนแข็งแรง กินดีนอนอิ่มเลยล่ะ!” เขาชูแขนทำหน้ามั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเองเต็มที่

คุณน้ากอดเขาแน่น จากนั้นสายตาเอย์จุนก็เลื่อนไปเห็นคนทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงหน้า พวกเขายังคงนิ่งเงียบ เขาเดินเข้าไปหาพี่ชาย

“คาซึ ยู! เอย์จุนกลับมาแล้ว!” เอย์จุนฉีกยิ้มพูดออกมาอย่างสดใส แต่ทั้งคู่กลับไม่แม้แต่ปริปากหรือยิ้มรับเขาเลย

คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน แววตาสีน้ำตาลหลังกรอบแว่นดูแข็งกร้าวขึ้น คาซึยะก้าวเข้าไปหาน้องของเขาจนใกล้และชูมือขึ้นเหนือหัว

“จะทำอะไรน่ะ!”  คนตัวเล็กกว่าโวยวายออกมาด้วยความตกใจพร้อมกับก้มหลบยกแขนขึ้นบังหัว

“เจ้าตัวยุ่ง…”  มืออีกฝ่ายหยุดวางไว้บนหัวสีน้ำตาลเข้มกลุ่มผมฟูถูกยีจนยุ่งเหยิง

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว…”  คาซึยะกล่าวอย่างแผ่วเบาจนอีกคนแทบไม่ได้ยินและหันหลังเดินไปอีกทาง

“ไปอาบน้ำล่ะ”

เอย์จุนจ้องแผ่นหลังของพี่ชายตาไม่กระพริบ ไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นการกระทำของพี่ชายคนรอง แต่ก่อนที่จะได้คิดอะไรต่อเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น  

“ผมขอไปพักก่อนนะครับ” คริสพูดขึ้นโดยที่ไม่แม้แต่จะมองหน้าเอย์จุนและเดินกลับเข้าห้องนอนไปในทันที

“ยู…”

“เอย์จุนขอบคุณคุณลุงเขาก่อนนะแล้วจะได้ร่ำลากัน”  คุณลุงของเขาพูดขึ้น

“อื้อ! ขอบคุณมากนะคุณลุง ไว้เอย์จุนจะไปเยี่ยมน่ะฮ่าๆๆ ฝากลาชิโระกับซาโตรุด้วยนะ!” เจ้าตัวน้อยโค้งขอบคุณและยิ้มหวานให้

“โอ้! เอาไว้เจอกันใหม่นะเจ้าหนู แต่ครั้งหน้าอย่าแอบขึ้นรถมาอีกล่ะฮ่าๆๆๆ”

จากนั้นพวกผู้ใหญ่ก็พูดคุยกันต่อถึงวีรกรรมของเจ้าตัวน้อยและลาจากกันไป

.

.

.

.

แอ๊ด…

“ยู….”

“…..”

“หลับแล้วเหรอ”

ทั้งห้องมืดสนิท มีเพียงแสงจากพระจันทร์ที่สาดส่องลอดมาจากหน้าต่าง เอย์จุนเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียงของผู้พี่ที่ตอนนี้นอนหันหลังไปอีกด้าน

“ไม่สบายเหรอ…”

“….”

เจ้าตัวน้อยเห็นว่าพี่ชายไม่ตอบจึงตัดสินใจปีนป่ายขึ้นไปบนเตียงยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อสังเกตุใบหน้าอีกคน มือเล็กเอื้อมไปแตะหน้าผากที่มีผมหยักโสกปกคลุมอยู่อย่าเบามือ

คริสลืมตาขึ้นมาเมื่อสัมผัสได้ถึงมือเล็กอันแสนคุ้นเคย

“เอย์จุน…”

“ยู?” คนตัวเล็กกว่าเอียงคอมองเหมือนรอประโยคคำพูดอื่นจากอีกฝ่าย

นัยน์ตาสีทองที่จ้องมองมาดูเย็นชา…นิ่งเรียบจนอ่านไม่ออกว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ มันไม่ได้ดูอบอุ่น อ่อนโยนเหมือนอย่างสายตาที่พี่ชายของเขาเคยมองมา ร่างที่ใหญ่กว่ายันตัวลุกขึ้นมา เป็นครั้งแรกที่เอย์จุนรู้สึก…กลัว สายตาและร่างของคนตรงหน้า

“ย…ยู” เด็กน้อยแสดงทีท่าสั่นกลัวขึ้นมา คริสหลุบตาลงสูดหายใจเข้าลึกและผ่อนออกมาก่อนจะค่อยๆโน้มตัวเข้าสวมกอดร่างเล็กตรงหน้า

“เห๊ะ….”

“…..”

“ยู…เอย์จุนทำให้โกรธเหรอ”

พี่ชายของเขายังคงเงียบไม่ตอบโต้อะไร มีแต่แรงกอดเท่านั้นที่เหมือนจะเพิ่มมากขึ้น

“เอย์จุนขอโทษ…”

“อย่าไปไหนอีกนะ…”

“หือ?”

“ย…อย่าไปไหนไกลๆอีก…นะ”

“…..”

คริสกระชับอ้อมกอดแน่ขึ้น น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ หยดน้ำใสไหลลงตามข้างแก้ม

เขาไม่เคยรู้สึกหงุดหงิด กลัว กระวนกระวายใจเท่านี้มาก่อนเลย เอย์จุนคือคนสำคัญของเขา แต่ขนาดตัวเขาเองก็ยังนึกไม่ถึงเลยด้วยซ้ำว่าการหายไปของเอย์จุนจะทำให้เขาต้องทุกข์ทรมานขนาดนี้

เขาต้องการให้คนๆนี้อยู่ข้างกายเขาตลอด…ไม่ไปไหน

เอย์จุน…ฉันขอโทษ

“เอย์จุน…ฮึก…พี่เป็นห่วงนายมากนะ”

“ยู…ร้องไห้ทำไม”

“ฮึก ฮือ ขอโทษนะ”

“….ยูเศร้าเพราะเอย์จุนไม่อยู่เหรอ”

“…..”

ผู้พี่นิ่งไปสักพักก่อนจะค่อยๆพยักหน้าเบาๆ

“เอย์จุนไม่อยากเห็นยูร้องไห้นะ” ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือไปปาดน้ำตาบนใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน

“ขอโทษนะ อย่าร้องเลย เอย์จุนสัญญาว่าจะไม่ไปไหนไกลๆอีกแล้ว”

“…..จริงๆนะ”

“อื้อ!”

.

.

.

คำพูดอันไร้เดียงสา แม้มันอาจจะไม่ได้ดูสวยหรู ไม่ได้มีความมั่นคง แต่…เป็นประโยคที่ทำให้เขารู้สึกดีอย่างอธิบายไม่ถูก

มันคือคำมั่นสัญญาที่ไม่มีหลักค้ำประกัน แต่ฉันเชื่อว่าเอย์จุนจะรักษาสัญญานี้…และหวังว่า…จะช่วยรักษามันตลอดไป

‘ช่วยอยู่ข้างๆฉันตลอดไปทีเถอะนะเอย์จุนของฉัน…’

ค่ำคืนนั้นเขาจำไม่ได้ว่าตัวเองนั้นเผลอหลับไปตอนไหน สิ่งที่จำได้มีเพียงภาพของเด็กน้อยที่นอนหลับอย่างสงบให้อ้อมแขนของเขา อยู่เคียงข้างเขา

ช่างเป็นฝันที่ดี…ถ้าอยู่แบบนี้ได้ตลอดไปก็คงดี

 

***Chris’s side End***

 

————————————————————-

โย่ว!

ช่วงนี้ฟิตผิดปกติล่ะ555 อาจจะเพราะพยายามหาอะไรทำไม่ให้ฟุ้งซ่านด้วย (งานล่ะ?…ก็ทำ) พาร์ทนี้My sunflowerเช่นเคย…เป็นส่วนหนึ่งของอิโทรก่อนเข้าเนื้อเรื่องหลัก(ปัจจุบันยังคิดชื่อเรื่องไม่ได้…) เป็นการเล่าผ่านมุมมองของพี่คริสครับ แต่ก็ยังให้ความสำคัญกับเรื่องราวความคิดของตัวละครอื่นเช่นกัน แน่นอนว่ามีเงื่อนงำต่างๆซ้อนอยุ่เช่นเคย ก็มโนกันต่อไปครับ555

พาร์ทนี้แอบแต่งยาก พี่คริสเป็นอะไรที่ยาก… พยายามอย่างเต็มที่ที่จะดึงตัวตัวของตัวละครออกมา ช่วงแรกๆแอบติดขัดกับการดำเนินเรื่อง เรื่องแพริ่งยังคงกำกวมเหมือนเดิมแล้วแต่จะคิดครับ หึๆๆ ยังไงก็หวังว่าจะอ่านและชอบกันบ้างล่ะนะ ขอบคุณหลายๆคนที่ตามอ่านและช่วยวิจารณ์ ฝากเนื้อฝากตัวต่อไปด้วย

ต่อไปจะเริ่มเข้าเนื้อเรื่องหลัก แต่คงอีกพัก…ชีวิตวุ่นวายมากมาก ถ้าฟิตก็จะเขียนรัวๆแบบนี้อีก555 อันนี้ใช้เวลาเขียนและตรวจประมาณ2วัน… ตกใจกับคว่ามบ้าของตัวเองอยู่TvT  แต่ครั้งหน้าอาจจะได้เจอกับฟิคเรื่องอื่นก่อนนะครับ อิ๊ๆ ไปล่ะ ขอบคุณอีกทีน้อ!

Special Thanks: ขอบคุณพี่พลอยที่ช่วยตรวจคำ ช่วยให้กำลังใจและทำให้เรามีแรงกระตือรือร้นในการเขียนฟิคนี้งับ จะพยายามต่อไปคับ!

 

0

วันนี้…

มนุษย์นั้นช่างบอบบาง…

ช่วงเวลาที่ได้อยู่บนโลกใบนี้นั่นช่างไม่แน่นอน

ไม่ว่าตัวช่วยใดๆก็ไม่สามารถจะยื้อการมีอยู่ของคนๆหนึ่งไปได้ตลอด

ถ้าถึงเวลาที่เขาจะ ‘ไป’ เขาก็ต้อง ‘ไป’

..

.

ฉันตื่นขึ้นมาเหมือนอย่างทุกเช้า เรื่องน่าแปลกคือเมื่อฉันมองนาฬิกามันยังไม่ใช่เวลาที่ปกติฉันควรจะลืมตาขึ้นมา

เจ้านกที่ปกติจะมาปลุกทุกเช้าวันนี้กลับไม่มา

มันช่างเงียบสงบ…

แต่แล้วบางสิ่งก็ทำให้วันนี้เปลี่ยนไป…

ใช่แล้ว…คล้ายวันนั้น วันที่คุณพ่อพูดคำนั้นตอนที่ฉันอยู่ที่มหาลัย
.
.
.

” เขาไปแล้วนะ “
.
.
เสียงสั่นเครือน้ำตาเอ่อนอง…ใบหน้าของคุณแม่รูปแบบที่เห็นไม่บ่อยนัก…

คุณแม่เป็นคนเข้มแข็ง หนักแน่ และแข็งกระด้าง แต่บัดนี้เธอเป็นเพียงแค่พี่สาวที่เศร้าเสียใจกับการจากไปของน้องชาย

ร่างกายเธออ่อนยวบ…กลายเป็นคนอ่อนแอ

ฉันนิ่งมองก่อนหยดน้ำจะไหลออกมาตามข้างแก้ม

ฉันไม่มั่นใจว่านี่คือน้ำตาที่ฉันมอบให้ใคร…

คุณอา คุณแม่ หรือตัวฉัน…

ภายในไม่กี่วินาทีฉันได้ทิ้งทิฐิทั้งหมดลง

สวมกอดแม่ของฉันแน่นและลูบหลังปลอบประโลมเธอ

“เขาไปสบายแล้ว อยู่ต่อไปก็ยิ่งทรมาน”

คนในอ้อมกอดของฉันยังคงร้องไห้ออกมาจนลืมความเป็นตัวของตัวเอง

ไม่เคยกอดแน่นขนาดนี้มานานแค่ไหนแล้ว…

ฉันพอจะจำได้แค่เพียงว่าฉันไม่เคยกอดคนในอ้อมกอดนี้ในขณะที่ร่างกายของเธอสั่นเทา…จากความเศร้า

ได้แต่บอกกับเขาและตัวเองในใจว่า

‘ไม่เป็นไรๆ’

.
.
แต่ฉันจะมีสิทธิ์อะไรเล่า…
.
.
.
จะเสียได้แค่ไหน
.
.
จะจดจำเรื่องต่างๆของเขาได้เพียงไร
.
.
จะช่วยอะไรคนรอบตัวได้

ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน…

..

.

จะทำยังไงต่อล่ะ?

ฉันรู้คำตอบอยู่แก่ใจ…

….เดี๋ยวมันก็ผ่านไป เรามีสิทธิ์เพียงแค่เดินหน้าต่อไปใช้ชีวิตของตัวเองและ…ให้ความสำคัญกับคนที่ยังมีอยู่ในปัจจุบัน
ยังไงล่ะ…

—————————-

ปู่ของฉันเพิ่งเสียไปเมื่อเดือนที่แล้วด้วยโรคมะเร็ง ไม่สามารถรักษาได้เพราะตรวจพบว่าเป็นระยะสุดท้าย และท่านอายุมากเกินกว่าจะเข้ารับการรักษา

อาของฉันร่างกายอ่อนแอและเป็นโรคแทรกซ้อนหลายอย่าง ทนทุกข์ทรมานมานับปี ไม่รวมช่วงเวลาตั้งแต่ที่ลืมตาดูโรคมาและรับรู้ว่าตนนั้นจะอยู่บนโลกใบนี้ได้ไม่นานนัก

ทั้งสองเป็นคนสำคัญของฉันและฉันเป็นคนสำคัญของพวกเขา เรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่ฉันมั่นใจ

ตอนนี้ทั้งสองจากฉันไปแล้วในเวลาไล่เลี่ยกัน มันคงเป็นธรรมดาที่ฉันจะต้องเศร้าเสียใจมาก…

เรื่องหนึ่งที่ฉันเจ็บใจที่สุดคือ…ฉันไม่ได้เห็นวาระสุดท้ายของทั้งสอง และไม่คิดว่าตัวเองเป็นหลานที่ดีพอเลย..

ขอให้หลับให้สบาย ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานแล้วล่ะนะ ขอมห้มีความสุขในโลกหน้า ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรทั้งนั้น
ขอแค่รอดูความสำเร็จในชีวิตของฉัน
ช่วยภูมิใจในตัวหลานคนนี้ต่อไป…

หวังว่าสักวันเราคงได้เจอกันอีก

หนูรักปู่และกู๋มากค่ะ ขอโทษที่หนูอาจจะเป็นหลานที่ไม่ดีพอที่เคยทำเรื่องให้รู้สึกเศร้าใจ ขอบคุณช่วงเวลาดีๆและทุกอย่างที่ให้หลานคนนี้ หนูจะพยายามต่อไปค่ะ…

*****

2

[Short Fic Daiya no A] Your back : FuruSawa

Your back : FuruSawa

carnatiionflowers26

 

น่ารำคาญ…

หนวกหู…

หยุดสักที…

ท่าทีที่ทำอยู่…สายตานั่น มันน่ารำคาญ

.

.

.

.

.

ฟุรุยะ!

…..

‘ไม่ชอบใจเลย’

 

แพขนตายาวค่อยๆขยับ หนังตาหนักค่อยๆเปิดออก เผยให้เห็นนัยน์ตาสีนิลที่สะท้อนกับแสงแดดที่เล็ดลอดเข้ามา

“ร้อน”

เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพลางยกแขนขึ้นก่ายหน้าผาก หลี่ตามองใบไม้บนต้นไม้ที่พริ้วไหว้ไปตามลมอ่อนๆ

“…น้ำ”

หยดเหงื่อไหลลงตามรูปหน้า ร่างกายรู้สึกเปียกชื้น ความกระหายแล่นเข้ามา เขาพยายามยันตัวขึ้นแต่เรียวแรงกลับหดหายไปหมด

“ฟุรุยะ!”

“….”

เสียงอันคุ้นเคย…

“อู้อีกแล้วเหรอ! มาหลบอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!”

“….”

ผู้มาเยือนเดินเยื้องย่างเข้ามาจนมาหยุดยืนอยู่ใต้ร่มไม้เดียวกันกับเขา

“ไปซ้อมต่อได้แล้ว!”

“….”

“อย่ามาเมินกันนะ!”

หนวกหู…

“ลุก!”

“เงียบน่ะ…”

“ห๊ะ?”

“….”

ตาเรียวตวัดมองคนตรงหน้านิ่ง เขาจ้องมองดวงตาสีอำพันที่กำลังทอเป็นประกายเมื่อกระทบแสงแดด ก่อนจะหลุบตาลง

“นาย….เป็นอะไรหรือเปล่า”

“….”

เงาตะคุ่มๆเคลื่อนเข้ามาใกล้จนทำให้เขาเห็นกลุ่มผมสีน้ำตาลฟูอยู่ในระดับสายตา

“เงยหน้าสิ…ดูซีดๆนะ”

คนที่นั่งยองๆอยู่จู่ๆก็ยื่นมือมาประคองใบหน้าของเขาเพื่อเช็คดูบางอย่าง

ฟุรุยะจ้องมองการกระทำนั้น

มือ…ร้อน

“นายนี่ความอดทนต่ำจริงๆเลยนะ เจออากาศร้อนหน่อยเป็นไม่ได้ ให้ตายสิ…ดื่มน้ำบ้างหรือเปล่า”

คนถูกถามส่ายหน้าเบาๆ

“ไม่มี”

“ห๊า ทำไมไม่หาล่ะ”

“….”

“ชิ…ฉันไปเอาให้ก็ได้ เห็นแก่สภาพอันน่าสงสารของนายหรอกนะ”

ว่าแล้วเขาก็ยืดตัวขึ้น แต่ก่อนที่จะได้ยืนสุดตัว ชายเสื้อของเขาก็ถูกดึงไว้

“อะไร”

“….”

“เฮ้!”

“อยู่นี่แหละ”

รู้ตัวอีกทีก็โดนแรงแขนของอีกฝ่ายดึงจนล้มนั่งลงไป

“เจ้าบ้า! ทำบ้าอะไรเนี่ย”

คนที่ล้มลงไปแหกปากโวยวายพลางลูบบั้นท้ายเบาๆ

“เงียบๆน่ะ…”

“ห๊ะ?”

คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน จ้องใบหน้าอันซีดเซียวของอีกฝ่าย

“สภาพร่อแร้ขนาดนี้ยังมีอารมณ์จะหยิ่งอีกเหรอ”

“….ไม่ได้เป็นอะไร”

“คนเขาอุส่าห์จะช่วยยังทำตัวอย่างนี้อีก นายนี่มัน…งั้นแล้วแต่แล้วกัน ฉันไม่สนล่ะ!”

เขายันตัวลุกขึ้นอีกครั้ง แต่ทันทีที่จะลุกก็ดันโดนมือหนาคว้าไว้ที่ไหล่

“อะไรอี–”

มืออีกข้างของคนตัวใหญ่กว่าเลื่อนไปวางบนปากของอีกฝ่าย

ตากลมโตจ้องมองอย่างงุนงงปนอารมณ์หงุดหงิด คิ้วขมวดเข้าหากัน เพ่งมองไปที่นัยน์ตาสีนิลตรงหน้าที่บัดนี้ดูจริงจังขึ้น

ใบหน้าคมโน้มเขามาใกล้ ทำเอาคนที่ถูกปิดปากอยู่หลับตาปี๋ทำตัวไม่ถูก

“ขออยู่แบบนี้สักพัก”

สัมผัสนุ่มๆจากเรือนผมสีดำสนิทบนไหล่ทำให้เขาลืมตาขึ้นมา

ตกใจหมด…

ใจเต้นแรง น่าจะเพราะตกใจที่จู่ๆหมอนี่ทำตัวแปลกๆ

เฮ้อ…

มือหนาถูกปัดออกไป

“น…นายนั่งเองดีๆไม่ได้หรือไง”

“…..”

เจ้าคนที่เหมือนจะใช้ไหล่เขาเป็นเสายันยังคงนิ่งเงียบ

“บ้าจริง”

 

สายลมพัดมาอย่างเอื่อยๆ ใบไม้ค่อยๆร่วงหล่นลงมาจากต้นไม้ใหญ่ที่ทั้งสองนั่งอยู่ ไม่มีบทสนทนาใดๆ แต่ความเงียบนี้ดันไม่ได้อึดอัดอย่างที่คิด

สบายใจ…

เย็น….

 

“ถ้า…”

เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบ

“หืม?”

มือใหญ่ยกขึ้นมาทาบบนหลังที่ไม่กว้างนักของคนข้างกาย

“ถ้าปิดเลข8บนหลังของนายก็จะเป็นเลข1”

“…อะไรของนาย”

“…..”

เจ้าของหมายเลข18บนแผ่นหลังยกยิ้ม

“หึ! ฮ่าๆๆ สักวันถึงไม่ต้องทำอย่างนั้น บนหลังของฉันก็จะมีแค่เลข1!”

“…..”

พิทเชอร์ผู้ท้าชิงยิ้มกว้าง ดวงตาทอเป็นประกาย

“คอยดูเถอะฟุรุยะ! อีกไม่นานหรอก ฮี่ๆ”

“…..”

“อย่าเมินกันสิ!”

“ฉันไม่มีวันให้เป็นแบบนั้นหรอก”

“ว่ายังไงนะ! ฟุรุยะ!”

“….”

“นายนี่มัน!”

ฟุรุยะเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองคนขี้โวยวายตรงหน้าก่อนจะหันหน้าไปอีกทางแทน ไม่สนใจว่าเพื่อนของเขาจะพูดอะไรออกมา

.

.

.

ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…

ที่จากความรำคาญกลายเป็นความสนใจ…

จากความสนใจกลายเป็นความโหยหา

ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกัน…เจ้านี่คือคู่แข่ง วิ่งไล่ตามจุดหมายเดียวกัน

ฉันได้รับสิ่งนั้นมา…แต่หมอนี่กลับยังไม่ยอมแพ้

จ้องมองมาที่ฉันด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น

ไล่ตามเลขบนแผ่นหลังของฉัน…

.

.

.

‘ต้องการให้เขามองมาที่ฉันเท่านั้น’

.

.

.

น่าหงุดหงิดนัก

เหนื่อย… รู้บ้างไหมว่าฉันต้องพยายามแค่ไหน

.

.

.

 

“โฮ่ย! ฟังอยู่หรือเปล่า อย่ามาแกล้งเมินนะ!”

“…..”

เขาตื่นขึ้นมาจากพะวงจ้องมองคนตรงหน้าปริบๆ ก่อนจะหลับตาลง งุดหน้าลงบนไหล่เล็ก

“…..”

“เฮ้ย! อย่าเลี่ยงด้วยการแกล้งหลับสิ!”

“…..”

“ฟุรุยะ!”

“หนวกหู…ฉันเหนื่อย”

“…..”

“อยากอยู่แบบนี้…”

เขาพูดเสียงอู้อี้จนแทบจับใจความไม่ได้

“ว่าอะไรนะ?”

“…นะ”

“พูดอะไรไม่รู้เรื่อง”

“…..”

“ก็ได้ๆ ยอมแค่ครั้งนี้หรอกนะ วันหลังถ้าสภาพแย่แบบนี้อีกนายควรรีบบอกคนอื่นนะ ไม่ใช่หลบมาเงียบๆแบบนี้ ถ้าเกิด…”

“ฟี้…” 

หลับจริงดิ?

เฮ้อ…เอาเถอะ

“อย่าพักนานนักล่ะ…ต้องตื่นมาวิ่งด้วยกันอีกนะ”

กลุ่มผมสีดำถูกขยี้ไปมาด้วยมือของคนที่เป็นหมอนจำเป็น

“อากาศวันนี้มันร้อนขนาดนั้นเลยเหรอ”

ว่าจบเขาก็ยิ้มบางๆให้กับท้องฟ้าสีครามกับแสงแดดอันอบอุ่น…เหมือนทุกวัน

.

.

.

.

.

 

อ๊ะ…

หลับไปนานเท่าไหนกัน

หืม?

คร่อก…

“…..”

เจ้านี่….นึกว่าจะไปเสียแล้ว

ฟุรุยะลืมตาตื่นขึ้นมาและค้นพบว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แผ่นหลังที่ให้เขาพิงยังคงอยู่ที่เดิม แต่สิ่งที่แปลกไปคือ เจ้าของแผ่นหลังดัน…หลับ

“…..”

พอเขาขยับตัว คนตัวเล็กกว่าก็เริ่มเอนหงายไป เขาจึงรีบจับเอาไว้

“เฮ้…”

คนในอ้อมอกยังคงหลับตาพริ้มไม่รู้เรื่อง

ท่าจะหลับสนิทน่าดู…

เขาจ้องใบหน้าของอีกฝ่ายนิ่ง พลางเอามือไล้เกลี่ยไปตามรูปหน้า

ตา…

จมูก…

แก้ม…

 

ปาก…

นิ้วเรียวลูบปากอิ่มอย่างเบามือ เขาโน้มหน้าลงประกบปากจูบลงอย่างแผ่วเบาที่ปากอิ่มนั่น

…ทำไปจนได้

แต่…ตัดสินใจแล้วล่ะ

มือหนาเลื่อนไปลูบแก้มสีชมพูออ่อนอย่างอ่อนโยน

 

“ซาวามูระ…นายจะต้องมองมาที่ฉัน…ตลอดไป”

 

.

.

.

**END**

 

1

[AU Daiya no A] That crybaby…

Miyuki’s side : That crybaby…

polianthes-tuberosa-06

 
หมู่เมฆลอยสูง แสงแดดอันเจิดจ้าไร้ซึ่งสิ่งปิดบัง เสียงจั้กจั่นสีปีกดังระงมไปทั่วบอกถึงฤดูกาลได้ดี  มันคือฤดูร้อนวันหนึ่ง วันที่น่าจะวุ่นวายที่สุดเท่าที่เขาจำความได้…   เฮ้อ…ข้างนอกดูท่าจะร้อนน่าดูแฮะ หาว~เด็กชายขยี้ตาใต้กรอบแว่นพลางบิดขี้เกียจไปมา

“สิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจ…เหรอ”

เขาพึมพำประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมาตาจ้องมองกระดาษที่เกือบจะว่างเปล่าแผ่นเดิม ถ้าไม่นับชื่อและหัวข้อที่เขาบรรจงเขียนไปได้เมื่อสักพักใหญ่มันก็คงเป็นกระดาษที่ดูสะอาดดี

‘มิยูกิ คาซึยะ ป.1ห้องB 

เรียงความหัวข้อ : สิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจ’

ปกติเขาไม่ค่อยสนใจอะไรเป็นพิเศษ ถึงจะมีเรื่องให้สนใจอยู่บ้างมันก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตอยู่ดี นั้นคือสิ่งที่เขาคิดได้ในทันทีเมื่อเห็นหัวข้อ และตอนนี้ก็ยังคิดเช่นนั้น

“หรือจะเอาเป็นเจ้าโปจิดีนะ?…อ่าดูสิ้นคิดจริงๆ”

เจ้าตัวว่าพลางเหลือบมองดูหน้าต่างด้วยสายตาเหนื่อยๆ เขาเห็นเจ้าโปจิ…ลูกสุนัขชิบะที่เพิ่งเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของบ้าน เมื่อไม่นานมานี้กำลังวิ่งเล่นอยู่กับเด็กผู้ชายที่คุ้นหน้าคุ้นตาคนหนึ่ง

“วันๆนี่วิ่งเล่นกันเป็นอย่างเดียวหรือไงนะ ไม่รู้จักเหนื่อยกันบ้าง”

ว่าพลางเอามือเท้าคางนั่งมองเจ้าเด็กน้อยที่ขนาดวิ่งอยู่ก็หัวเราะไปด้วยได้อย่างไม่มีทีท่าของความเหน็ดเหนื่อย รอยยิ้มบางๆเผยออกมา ก่อนจะถูกขัดด้วยเสียงของคนที่อยู่ไม่ไกล

“บ่นเป็นคนแก่ไปได้คาซึยะ เป็นอย่างไรบ้าง เขียนเสร็จหรือยัง”

“อ่า…ยังคิดคำตอบไม่ออกเลยด้วยซ้ำครับพี่คริส”

เขาเอี้ยวตัวหันไปตอบพี่ชายของเขาที่อยู่อีกด้านของห้อง จ้องมองผู้พี่ที่ยังคงก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรบางอย่างไม่หยุดจนเขาตัดสินใจเดินเข้าไปหาแทน

“โหจะเสร็จแล้วเหรอครับ แถมเขียนซะเยอะเชียว”

“อื้ม หัวข้อไม่ยากน่ะ” คริสยิ้มตอบ

คาซึยะสังเกตได้ทันทีว่าตอนนี้พี่ชายของเขาดูมีความสุขในการเขียนบทความนี้มาก…จนน่าสงสัย

เห…หัวข้ออะไรกันนะ ว่าแล้วก็ชะโงกหน้าไปดู ‘ความสุข…ของฉัน?’ ทำไมมันดูกว้างจัง…แต่ก็ดูไม่ยากจริงๆแหละนะ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นสายตาใต้กรอบแว่นจึงเลื่อนไปอ่านต่อโดยไม่ขออนุญาต

‘ความสุขของผมคือการได้มองดูคนคนหนึ่ง เขาคนนั้นเหมือนแสงอาทิตย์ที่นำพาแสงสว่างมายังโลกของผม ทั้งเจิดจ้าและอบอุ่น…’

เขากำลังเพลิดเพลินอยู่กับการ(แอบ)อ่านบทความของพี่ชายแต่ก็ต้องหยุดลงเมื่อมือของผู้เขียนขยับขึ้นมาปิดบังประโยคถัดไป

“อย่าแอบอ่านสิ” คริสหน้าขึ้นสีจางคิ้วหนามุ่นเข้าบ่งบอกถึงความไม่พอใจ เขารีบฟุบตัวลงกับกระดาษเพื่อไม่ให้คาซึยะได้เห็นข้อความที่อยู่ในนั้น

“แหะๆ ขอโทษครับ แหม~ คนๆนั้นคือใครกันนะ ผมล่ะอยากรู้จริงๆ หรือว่า…จะเป็นพี่สาวบ้านตรงข้ามกันนะ”

คนน้องพูดล้อพี่อย่างติดตลกพลางเกาท้ายทอยแก้เก้อ

“ไม่ใช่สักหน่อย กลับไปเขียนของตัวเองไป” คริสปัดไล่น้องให้กลับไปที่เดิม

“คร้าบๆ” คนถูกไล่เหล่มองพี่ชายที่ยังคงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับงานเขียนของตน

อะไรกันเรื่องแค่นี้ก็ต้องเป็นความลับ…

เขานั่งๆนอนๆเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ พยายามใช้ความคิดอยู่สักพักก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของใครบางคนดังขึ้นมา เห๊ะ จากข้างนอก?


พรึ่บ! แอ๊ด ปึง!

ห๊ะ?

รู้ตัวอีกทีพี่ชายที่ควรจะนั่งอยู่อีกด้านของห้องก็หายไปเสียแล้ว เขาตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจึงรีบลุกขึ้นมาหวังจะตามผู้พี่ไป แต่พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นต้นตอของความวุ่นวายผ่านหน้าต่างบานเดิม ความตื่นตกใจลดฮวบหายไปทันทีเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เขาชินแล้ว…

“จะเงียบสงบสักวันได้ไหมเนี่ย” เขาบ่นเสียงเหนื่อย ค่อยๆเดินเยื้องย่างออกไปที่จุดเกิดเหตุ

ที่สนามข้างนอกตัวบ้านทุกอย่างดูปกติดทั้งต้นไม้ใบหญ้าเว้นแต่สภาพกายของเจ้าเด็กน้อยตรงหน้าและเสียงรบกวนที่เพิ่มเข้ามาแข่งกับหมู่จั้กจั่น

“ฮึกๆ ฮือออ เจ็บอ่ะ เจ็บ!”

เจ้าของเสียงร้องอันน่ารำคาญนี่คงเป็นของใครไม่ได้นอกเสียจากเจ้าน้องเล็กของเขาที่วิ่งเล่นอยู่กับเจ้าโปจิเมื่อกี้

ตากลมโตน้ำตาคลอ หน้ามอมแมมไม่หลงเหลือรอยยิ้มอย่างปกติอีกต่อไป

“โฮ่งๆๆ หงิงๆๆ”

“โปจิอยู่นิ่งๆก่อนนะ ไหนพี่ขอดูหน่อย” คริสตรวจดูร่างกายของเจ้าตัวเล็กอย่างละเอียดก่อนจะทำสีหน้าโล่งใจขึ้นเมื่อพบว่าไม่มีอะไรบุบสลาย

“รออยู่ตรงนี้ก่อนนะเดี๋ยวพี่จะไปเอายามาทาให้ คาซึยะฝากดูเอย์จุนทีนะ”

“…ครับ” ไม่ต้องถามเลยว่าเขาทำสีหน้าแบบไหน

…เหอะ

คาซึยะไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่เหล่มองคนตัวเล็กกว่าที่อยู่ไม่ไกล ไหล่เล็กไหวเบาๆตามจังหวะเสียงสะอื้น

“นายนี่เล่นไม่ระวังเลยนะต้องได้แผลทุกที” เขาพูดพลางมองไปรอบๆสนามก่อนจะรู้สึกได้ถึงแรงกระตุกที่ชายเสื้อ

“คาซึ…คาซึ ฮึก ฮึก ฮือ” เจ้าตัวเล็กแหงนหน้ามองเขา ตาโตจ้องมองเหมือนต้องการอะไรบางอย่าง

อึก… คนโตกว่ากัดริบฝีปากแน่นรู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่าง ถึงจะชินกับความขี้แยของเจ้าน้องเล็กนี่แต่เขาดันไม่เคยชินกับสายตานี่เสียที

“จิ๊ เงียบสักทีน่ะ…เจ้าขี้แย” อ่า…ตายล่ะเผลอจนได้

“ฮึก แงงง” เจ้าตัวเล็กอึ้งตกใจจนร้องไห้หนักกว่าเก่า

คนตัวสูงกว่าผงะถอยหลัง รู้สึกอารมณ์หงุดหงิดจะปุดๆขึ้นมาทันที โอ๊ยเสียงดังน่ารำคาญที่สุด ก็ไม่ได้ตั้งใจจะพูดไม่ดีใส่ แต่เขาดันโอ๋ใครไม่เป็น ยิ่งกับเจ้าเด็กนี่นี่ยิ่งแล้วใหญ่ ไม่รู้ทำไมเจอเหตุการณ์แบบนี้ทีไรเขาจะต้องหงุดหงิดหรือทำอะไรไม่ถูกทุกที เขาตัดสินใจเอื้อมมือไปบีบแก้มของคนตรงหน้าด้วยความหงุดหงิด

“เงียบซะเจ้าแก้มยุ่น!” อีกแล้ว…จนได้

ตะคอกเสร็จก็เอามือกุมขมับรู้สึกอยากตบปากตัวเองที่ดูเหมือนจะทำให้เรื่องยุ่งขึ้น ทำไมเขาถึงพูดดีๆกับเจ้าเด็กนี่ไม่ได้กันนะ

“….คาซึ” เอ๊ะ หยุดร้องแล้วแฮะ

“อะ…อะไร” เสียงสะอื้นเงียบหายไป เด็กน้อยจ้องเขาเขม็งก่อนจะอ้าปากเอ่ยคำพูดต่อไป

“คาซึ…ไอ้ปีศาจแว่น!”

“โฮ่ย นายพูดว่า…อะไรนะ!” เขากัดฟันพูดและกระชับมือที่บีบแก้มยุ้ยของอีกฝ่ายให้แน่นขึ้น

เอย์จุนทำเป็นเมิน ปัดมือเขาออกและหันไปนั่งกอดเข่าคุยกับโปจิเจ้าลูกหมาชิบะเพื่อนรักของเจ้าตัวแทน เจ้าของฉายาไอ้แว่นปีศาจยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่ครั้งนี้เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่สนใจเจ้าเด็กนี่อีก จะอยู่นิ่งๆจนกว่าพี่ใหญ่จะมา โอเคใจเย็นไว้ ฉันไม่อยากมามีเรื่องกับเด็กหรอกนะ

แต่หูเจ้ากรรมดันไปจับเนื้อหาสนทนาของคน…และหมาที่กระซิบกระซาบกันอยู่ไม่ไกลจากเขาได้

“โปจิ คาซึนี่เหมือนยักษ์เลยเนอะ ใจร้ายชอบใช้กำลัง ไม่เห็นเหมือนยูเลย…โตขึ้นหาแฟนไม่ได้แน่ๆ!”

“…..” คิ้วหนาเริ่มขมวดเข้าหากัน เขาข่มอารมณ์และทำเพียงปรายตามอง และสิ่งที่เขาเห็นคือ…

“แบร่!” ใบหน้าทะเล้นของไอ้เด็กน่าหมั่นไส้ที่แลบลิ้นใส่เขาพร้อมกับเจ้าหมาชิบะที่กำลังทำหน้ายิ้มอยู่…

“ไอ้เด็กนี่…หนอย” บัดนี้ความอดทนของเขาได้หายไปหมดแล้ว ดวงตาแข็งกร้าวจ้องเขม็งไปทางเอย์จุน

“กล้าดีนิ มานี่เลยไอ้ตัวยุ่ง!” เขาเหยียดยิ้ม เอื้อมมือไปฉีกปากเจ้าเด็กปากมาก

“ใช่สิฉันมันไม่ได้ใจดีตามใจนายเหมือนพี่คริสนิ และจะไม่มีวันด้วยจำไว้!”

“อาหึอาอะ!” (คาซึบากะ!) พูดเสร็จเอย์จุนก็ดิ้นสุดแรงจนหมัดของเขาเผลอไปโดนหน้าของพี่ชาย

“เอย์จุน!!”  หลังจากนั้นสงครามขนาดย่อมก็เกิดขึ้น…
….

..

.

.
พี่กลับมาแล้ว…นี่มันอะไรกัน?”

คริสกลับมาพร้อมกล่องยา แต่เขากลับต้องตกใจกับภาพตรงหน้า สภาพน้องชายทั้งสองของเขา…เอย์จุนยังคงร้องไห้เหมือนเดิมแถมมีแผลเยอะขึ้น คาซึยะก็เช่นกัน สะบักสบอมทั้งคู่

“พวกนายนี่นะ ทะเลาะอะไรกันอีกล่ะ”

ไม่มีใครตอบ คู่กรณีทั้งสองเพียงเหล่มองและหันหน้าเมินไปคนละทางทันที

“เฮ้อ…คาซึยะนายเป็นพี่นะ”

คริสถอนหายใจก่อนจะเดินเข้าไปหาน้องเล็ก จับให้ลุกขึ้นพร้อมปัดฝุ่นเช็ดหน้าเช็ดตาให้

“โย้ชๆ ไม่ร้องนะเอย์จุนคนเก่งของพี่ ตาบวมหมดแล้วนะ” รอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนที่คุ้นเคยของพี่ชายทำให้เขาหยุดร้องไห้ในทันที ตากลมใสลุกวาวจ้องมองคนตรงหน้าก่อนปากอิ่มจะยิ้มกว้าง

“ยู~” เจ้าตัวเล็กโผเข้าสู่อ้อมอกของผู้พี่ คริสลูบหัวน้องของเขาเบาๆและจัดการอุ้มขึ้นมา

จิ๊..อ้อนเข้าไปๆ แน่นอนว่านี่เป็นเพียงเสียงในใจของพี่คนรอง เรียวตาใต้กรอบแว่นกรอกไปมาเหมือนพยายามแสดงท่าทีประชดประชัน คริสขำเบาๆเมื่อเห็นท่าทีนั้น

“มานี่สิคาซึยะ ไปทำแผลกันนะ”

เสียงนุ่มๆและฝ่ามือเดิมๆที่คอยจูงเขาตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ถูกส่งยื่นออกมาตรงหน้า มันทำให้เขารู้สึกสงบใจอย่างบอกไม่ถูก ความไม่พอใจทั้งปวงที่เคยมีหายวับไปกับตา  เขาลังเลอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจจับมือพี่ชายของตนอย่างเขินๆและยอมเดินตามแรงดึงไป

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

บานประตูกระจกห้องนั่งเล่นเปิดออกกว้างเพื่อรับลม กระดิ่งที่ห้อยอยู่ไหวไปมาเบาๆอย่างไร้เสียงบ่งบอกถึงแรงลมที่พัดเข้ามาเอื่อยๆ อากาศวันนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ร้อนมากอย่างที่เขาคิด อาจจะเพราะมัวอุดอู้อยู่แต่ในห้องมากไปเลยเพิ่งได้สัมผัสกับลมธรรมชาติแบบนี้

“โอ๊ยเจ็บ! มันแสบนะ ฮือออ”

ความสงบถูกขัดด้วยเสียงแสบแก้วหูที่ดังขึ้น ใบหน้าของเจ้าเด็กหัวน้ำตาลผมฟูยังคงเต็มไปด้วยคราบน้ำตา บางทีก็ชักทำให้สงสัยเหมือนกันว่าในวันหนึ่งถ้าเก็บรวมน้ำตาของเจ้านี่มาได้คงได้เกลือเต็มขวดเลยกระมัง

ว่าเข้าไปนั่น…

คาซึยะจ้องมองพี่ชายของเขาที่บัดนี้แทบปั้นหน้าไม่ถูก ทั้งกังวล เป็นห่วง อยากจะทำแผลให้เจ้าขี้แยนี่แต่ก็คงเห็นใจเพราะกลัวมันเจ็บ เขายังคงนิ่งเงียบและค่อยๆเลื่อนสายตามองแผลตามตัวของคนขี้แยที่เพิ่งกล่าวถึง

อย่างกับไปฟัดกับหมามา

เขาคิดไปเรื่อยเปื่อยก่อนจะหยุดความคิดเมื่อภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นดันฉายกลับเข้ามาในหัวของเขา

อ่าว…เมื่อตะกี้ฉันเพิ่งทะเลาะกับหมอนี่มานิ หมา? ฮ่ะๆๆ

ได้แต่ขำในใจยิ้มเจือนให้กับตัวเองและพยายามสะบัดความคิดนั้นออกไป แต่มันเป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าของใบหน้าที่เขาจ้องมองเมื่อครู่หันมาพอดี

“มองอะไร!”

คนโตกว่าถึงกับอึ่งไปชั่วขณะ คิ้วหนาได้รูปเลิกสูงก่อนจะหลุบตาลงหันไปทางอื่นทำเป็นไม่สนใจเพราะไม่อยากจะมีเรื่องด้วยอีก แต่ในใจก็แอบคิดและบ่นไปต่างๆนานา

โฮ่ยๆนี่ฉันก็พี่นายคนหนึ่งนะ ที่กับพี่คริสล่ะพูดดีซะ…ว่าแล้วก็รู้สึกหัวเสียขึ้นมานิดๆ พยายามสงบสตินั่งขัดสมาธิเท้าคางรอคนทำแผล แต่ดูเหมือนจะใช้เวลามากว่าที่คิด เพราะผู้บาดเจ็บดันไม่ค่อยให้ความร่วมมือสักเท่าไหร่

“แงงง ไม่เอาแล้ว ฮือมันแสบมากๆเลย เอย์จุนไม่เอาแล้ว”

ว่าแล้วเจ้าตัวก็ขดตัวนั่งกอดเข่าฟุบหน้าร้องไห้ไม่สนอะไรอีกเลย

คุณหมอจำเป็นดูท่าจะหนักใจน่าดู จนเห็นแล้วก็เหนื่อยแทน ถามว่าแผลนั้นใหญ่มากไหม ถ้าโดยรวมก็ไม่ได้มากมายขนาดนั้น ก็เหมือนเด็กที่วิ่งฝ่าพุ่มไม้และหกล้มธรรมดาๆ จะมีที่ดูน่าเป็นห่วงหน่อยอาจจะเป็นฝ่ามือคู่เล็กนั้นกับเข่าที่ไม่รู้ไปทำอีท่าไหนถึงได้เป็นแผลถลอกเลือดออกไม่หยุดขนาดนั้น แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่จะเสร็จเนี่ย ถ้าไม่ล้างแผลให้เรียบร้อยคงไม่ดีแน่ คนที่นั่งดูเหตุการณ์เงียบๆอย่างเขาจึงค่อยขยับตัวเข้าไปใกล้ๆพี่น้องทั้งสอง เอย์จุนสังเกตเห็นเงาตะคุ่มๆจึงรีบเด้งตัวหลบ

“จะ…จะทำอะไร!”

ดวงตาสีน้ำตาลใต้กรอบแว่นกะพริบปริบๆ รู้สึกแปลกใจกับปฏิกิริยาของคนตรงหน้าไม่น้อย
อย่างกับลูกแมว…แค่เข้าใกล้หน่อยก็แยกเขี้ยวขู่ฟ่อๆ นี่ถ้ามีหางมีหูหน่อยนี่คงใช่เลย

“ยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย กลัวอะไรนักหนา” คิ้วหนาเลิกขึ้นพูดออกไปด้วยท่าทีกวนประสาท

“กลัวอะไร อย่างฉันเนี่ยนะจะกลั–”

ยังไม่ทันที่เจ้าแมวในร่างคนนี่จะได้พูดจบเขาก็หันไปอีกด้านทำเมินเสียงโวยวายไป

“เป็นผู้ชายน่ะหัดอดทนหน่อยสิ” คาซึยะพูดเสียงนิ่งโดยไม่หันไปมองผู้ฟังที่คิ้วขมวดจ้องมองการกระทำของเขา

เขาเอื้อมมือไปหยิบสำลีกับเบตาดีนมาจัดการแผลของตัวเอง แผลของเขานั้นไม่ได้ดูน่าเป็นห่วงมากนัก มีเพียงรอยข่วนและรอยกัดที่มีเลือดออกซิบๆ เขาจงใจละเลงเบตาดีนลงบนแผลบนหลังมือที่ดูจะเห็นได้ชัดมากที่สุด ความเย็นของของเหลวสีเข้มบนสำลีแล่นผ่านปากแผลก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บแสบ หน้าตาได้รูปของเขาตอนนี้บิดเบี้ยวไปชั่วขณะ แต่เมื่อเหลือบเห็นน้องเล็กที่จ้องตัวเองอยู่เขาจึงฝืนกัดฟันพยายามทำหน้านิ่งที่สุดและไม่แสดงอาการเจ็บปวดออกมา

“ฉันไม่เห็นเจ็บเลยสักนิด” คาซึยะพยายามพูดเสียงนิ่งที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้

เอย์จุนยังคงจ้องตาไม่กะพริบ พอเห็นพี่ชายทำได้ ความรู้สึกที่ไม่อยากยอมแพ้จึงก่อตัวขึ้น

“หึ! เรื่องแค่นี้เองฉันก็ทำได้!” เจ้าขี้แยเมื่อครู่กลับมาส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวได้อีกครั้ง มือเล็กยื่นส่งให้พี่ใหญ่ที่ถือสำลีรอทำแผลอย่างไม่มีความลังเลใจ เปลือกตาประกบกันชิดสนิท ปากเล็กเม้มแน่นเพื่อเตรียมรับสิ่งที่กำลังจะมาสัมผัสบนผิวของตน

คนข้างกายขำออกมาเบาๆก่อนจะพยักหน้าส่งสัญญาณให้คริสเริ่มทำแผลได้ พี่คนโตจึงค่อยๆบรรจงล้างแผลของน้องอย่างเบามือ น่าตกใจที่ไม่มีเสียงร้องออกมาสักแอะ แต่ถ้ามองใกล้ๆก็จะสังเกตเห็นหยดน้ำใสบนแพขนตาที่ค่อยๆซึมออกมา เขานั่งจ้องมองทุกอิริยาบถของคนตรงหน้า สังเกตเห็นปากที่บิดเบี้ยวไปมา คิ้วที่ชนเข้าหากันเหมือนพยายามข่มไม่ให้น้ำตาไหล คาซึยะยิ้มบางๆชื่นชมความอดทนของคนตัวเล็ก

“ก็เก่งดีนิ” เขาว่าพร้อมเอื้อมมือไปยีหัวน้องของตนและยิ้มให้ก่อนจะลุกขึ้น

เจ้าของผมสีน้ำตาลเข้มลืมตาโพลงพร้อมกะพริบตาปริบๆ แก้มใสค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงจาง เขานึกไม่ถึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น รู้สึกไม่คุ้นชินกับการกระทำของพี่ชายคนนี้

“เดี๋ยวผมขอตัวไปเขียนเรียงความต่อล่ะ”

“ยังทำแผลไม่เสร็จดีเลยนะคาซึยะ” คริสกล่าวด้วยท่าทีเป็นห่วง

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แผลแมวข่วนแค่นี้จิ๊บจ๊อย ล้างน้ำก็หาย” ตอบกลับเสร็จเขาก็เดินออกจากห้องไปโดยไม่ทันสังเกตเห็นว่ายังมีสายตาคู่หนึ่งที่ยังคงจับจ้องตามแผ่นหลังของเขา

“เอย์จุน”

“….”

“เอย์จุน”

“…ฮะ!?”

เจ้าของดวงตากลมสะดุ้งหันควักหลังจากที่เหม่อมองบางอย่างอยู่

“โอเคขึ้นหรือยัง ไม่เจ็บแผลตรงไหนแล้วใช่ไหม” คริสยังคงถามด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงพลางตรวจสอบโดยการชะโงกดูรอบๆน้องตัวเอง

เอย์จุนเห็นอย่างนั้นจึงสำรวจตัวเองบ้าง ทั้งเปิดเสื้อ ถกขากางเกง พลิกหน้าหลัง ขยับมือไม้ข้อเท้าไปมา

“อุ๊ส! ไม่มีปัญหา ส.บ.ม! ฮี่ๆ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ชูสองนิ้วยิ้มกว้างจนเห็นไรฟัน

“อื้ม ดีแล้วล่ะนะ”

คริสยิ้มให้และลูบหัวเขาเบาๆ รู้สึกหายกังวลที่เจ้าตัวน้อยที่แสนร่าเริงของเขากลับมายิ้มได้เหมือนเดิม

“ยู ยูจ๊ะอยู่ไหมเดี๋ยวออกไปซื้อของให้แม่หน่อยนะ” จู่ๆเสียงคุณแม่ที่อยู่ในครัวก็ดังขึ้น

“คร้าบ…เดี๋ยวพี่ออกไปซื้อของให้คุณน้าก่อนนะเอย์จุน” คริสตอบรับคำขอของคุณแม่และหันมาบอกน้องเล็กของเขา

“อื้ม!” เจ้าตัวเล็กพยักหน้ารับรู้ พร้อมเดินไปส่งพี่ชายของเขาที่กำลังจะออกไปข้างนอก เมื่อคริสเตรียมตัวเสร็จเขาจึงเดินไปเปิดประตูเตรียมออกจากบ้านแต่ก็ไม่ลืมที่จะหันมาย้ำน้องชายของตนไม่ให้ซนอีก เอย์จุนยิ้มพยักหน้ารับคำสั่ง ก่อนจะโบกมือลา

แอ๊ด ปัง และแล้วประตูบ้านก็ถูกปิดลงเหลือแต่เอย์จุนที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม เขาที่ตอนนี้ไม่รู้จะทำอะไรจึงเดินเข้าครัวไปหาคุณน้าของเขา

“อ่าวว่าไงจ๊ะเอย์จัง…ตายแล้ว!นี่ไปได้แผลที่ไหนมาเยอะแยะเนี่ย”

คุณน้าดูตกใจมากเมื่อหันมาเห็นเอย์จุนที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยแผลและพลาสเตอร์ยา

“แหะๆนิดหน่อย แต่เอย์จุนไม่เป็นอะไรแล้วล่ะนะ! ยูทำแผลให้แล้ว ดูสิ! ฮี่ๆ”

เขายิ้มกว้าง เมื่อคุณน้าเห็นอย่างนั้นจึงโล่งใจ แค่ยิ้มสดใสได้อย่างนี้เธอก็ไม่ห่วงอะไรแล้ว

“ซนอีกแล้วน่ะสิเรา อย่างนี้วันหลังคงต้องพกพลาสเตอร์ยาไว้เยอะๆแล้วล่ะนะ”

พูดจบเธอก็รีบเดินไปหากระเป๋ายาจัดการเปิดออกมาวางบนโต๊ะเสร็จสับ เจ้าตัวน้อยจ้องมองกะพริบตาปริบๆรอดูว่าคุณน้ากำลังจะทำอะไรต่อไป

“นี่~อันนี้เป็นพลาสเตอร์ลายน่ารักมากเลยล่ะนะ เสียดายยูไม่ได้เอามาแปะให้เอย์จัง
เธอทำหน้าเศร้าอยู่แต่ก็กลับมาสดใสใหม่ได้ในไม่กี่วิ

“แต่ไม่เป็นไร ครั้งหน้าเอย์จังค่อยใช่เนอะ เดี๋ยวน้าจะเขียนชื่อไว้ให้ด้วยจะได้ไม่หายนะ”

“เห๊ะ! ต้องเขียนชื่อด้วยเหรอ” เอย์จุนเอียงคอเป็นเชิงถามเพราะไม่เข้าใจเหตุผลที่ต้องเขียนชื่อลงบนพลาสเตอร์

“ใช่แล้วจ๊ะ เวลาเอย์จุนเอาไปแปะให้สาวๆ เขาจะได้จำได้ไง”

“อ่าวแล้วเมื่อกี้คุณน้าบอกเขียนชื่อไว้ไม่ให้หายนิ?”

เด็กน้อยเริ่มใช้ความคิด สับสนกับสิ่งที่น้าของตัวเองพูด คุณน้าทำหน้าเจื่อน ที่จริงในใจคิดแค่ว่าถ้ามีชื่อของหลานบนสิ่งของคงจะดูน่ารักดีและเธอก็แค่ต้องการเขียนชื่อของเอย์จุนลงไปก็เท่านั้น

“เขียน…ไม่ได้เหรอ”

เธอแกล้งตีหน้าเศร้าจ้องมองเอย์จุนไม่กะพริบ เมื่อเจ้าตัวน้อยเห็นอย่างนั้นเขาก็อดใจอ่อนไม่ได้

“เขียนสิ เขียนได้! เขียนชื่อเอย์จุน เย้!” คุณน้าเห็นท่าทีตอบรับของหลานก็รู้สึกดีใจมากจนตื่นเต้นยิ่งขึ้นไปอีก

“โอเค! เชื่อมือน้าได้เลยนะจ๊ะ”

จากนั้นทั้งสองคนก็ตื่นเต้นอยู่กับการเลือกลายปาสเตอร์และการเขียนชื่อของเด็กชายลงไป

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

ทั้งบ้านนั้นเงียบสงัด ความสงบสุขกลับมาอีกครั้ง วิวนอกหน้าต่างบานเดิมบัดนี้มีเพียงสนามหญ้าโล่งๆและต้นไม้ใหญ่ที่พลิ้วไหวเบาๆไปตามแรงลมเอื่อยๆ เจ้าหมาน้อยตัวเดิมกลับไปนอนกลางวันในบ้านหลังเล็กของมัน ส่วนเจ้าเด็กน้อยที่ควรจะวิ่งเล่นอยู่กับเพื่อนรักตอนนี้คง… จะอยู่ในบ้านตรงไหนสักแห่ง

“เฮ้อ…สุดท้ายก็คงต้องเอาเจ้าโปจิล่ะนะ”

เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยคำตอบของเรียงความที่เขาเพิ่งบรรจงเขียนลงไป เจ้าตัวดูไม่ค่อยสบอารมณ์กับคำตอบที่เลือกเสียเท่าไหร่

“เอาน่ะทำให้มันเสร็จๆไป จะได้ไปทำอย่างอื่นสักที”

เขากลั้นใจขยับข้อมือไปมาบนกระดาษที่มีเส้นบรรทัดครึ่งหนึ่งและช่องที่เอาไว้วาดภาพอีกครึ่งหนึ่ง ตัวอักษรค่อยๆปรากฏขึ้นมาจนรวมกันเป็นประโยคที่มีใจความ

“ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมต้องให้วาดรูปด้วยนะ ไร้สาระชะมัด”

เด็กประถมที่ปกติควรสนุกกับการวาดภาพบ่นกระปอดกระแปด แต่มือก็ยังขยับวาดลายเส้นไป หน้านิ่วคิ้วขมวดรู้สึกเหนื่อยใจยิ่งเสียกว่าตอนคิดคำตอบของเรียงความ “ฮ่า~เสร็จสักที ฝีมือการวาดภาพของฉันก็ไม่เลวแฮะ”

เจ้าของผลงานกล่าวชมฝีมือของตนอย่างภาคภูมิใจ ยิ้มออกมาน้อยๆก่อนจะตัดสินใจเดินไปที่เตียง ถอดแว่นและทิ้งตัวลงนอน หมอนนุ่มๆบวกกับลมเย็นๆจากเครื่องปรับอากาศทำให้ประสาทรับรู้ทั้งหมดเฉื่อยชาลง ตาเริ่มปรือจนเปลือกตาหนักขึ้นและค่อยๆปิดลงอย่างควบคุมไม่ได้

.
.
.
.
.
.

แอ๊ด…

ประตูค่อยๆถูกแง้มออก เผยให้เห็นนัยน์ตาสีอำพันคู่สวยที่สะท้อนกับแสงแดดที่ลอดเข้ามาจากหน้าต่าง เขาสอดส่องดูสภาพห้องสักพัก เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในห้องจึงเยื้องย่างออกมาจากหลังบานประตู

“ขออนุญาตเข้าห้องนะ” เจ้าหนูน้อยยังคงไม่ลืมมารยาทที่คุณแม่ของเขาเคยสอนมา

แก๊งๆ เสียงก้อนน้ำแข็งกระทบกับแก้วและเหยือกสีใสที่อยู่บนถาด เจ้าตัวถือมาอย่างเก้ๆกังๆพยายามเพ่งมองทั้งสองสิ่งที่ถูกเติมเต็มด้วยน้ำชาสีน้ำตาลเข้ม ปากแก้วถูกตกแต่งด้วยมะนาวชิ้นบาง ดูเป็นเครื่องดื่มดับร้อนที่ดี

“อย่าหกนะๆ” ปากน้อยๆพูดเตือนสติตัวเองและค่อยๆเดินตรงไปทางโต๊ะริมหน้าต่างในด้านหนึ่งของห้อง แต่เมื่อหันไปทางเตียงที่อยู่ด้านซ้ายเขาก็ต้องสะดุ้งโหยงจนเกือบเผลอปล่อยมือออกจากถาด

“เหวอ! ตะ…ตกใจหมด”
เอย์จุนเบิกตาโต เพิ่งสังเกตเห็นพี่ชายคนรองของเขาที่กำลังนอนหลับอุตุอยู่บนเตียง

“เฮ้อ…”
ถอนหายใจอย่างโล่งอก พอเห็นอย่างนั้นจึงค่อยก้มวางถาดเครื่องดื่มลงบนพื้นและนั่งลงข้างขอบเตียง

“โฮ่ย~ คาซึ…ไม่ได้ตื่นอยู่ใช่ไหม หลับเหรอ?”
เขาโบกมือไปมาใกล้ใบหน้าอันนิ่งสงบของพี่ชายก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อสังเกตให้แน่ใจว่าเจ้าตัวไม่ได้ตื่นอยู่

“ไอ้ปีศาจแว่น~” เสียงใสอันแผ่วเบาถูกกรอกเข้าไปข้างๆหูของคนที่หลับสนิทอยู่

“อื้อ…” คิ้วได้รูปของปีศาจที่หลับอยู่ย่นชิดเข้าหากัน

“อึ๋ย!” เอย์จุนรีบผงะถอยหลังหาที่หลบ

แต่ดูเหมือนสิ่งที่เขากลัวจะไม่เกิดขึ้น คาซึยะเพียงแค่ขยับตัวพลิกเปลี่ยนท่านอนและนิ่งสนิทไป จังหวะการหายใจกลับมาสม่ำเสมอเหมือนเดิม พอคนที่หลบอยู่เห็นดังนั้นจึงค่อยๆออกมา แล้วสายตาก็สังเกตเห็นรอยส้มๆที่มือ

มันเป็นแผลเดียวกันกับ… สิ่งที่เรียกความสนใจของเขาในตอนนั้นและมันก็คือแผลที่เขาเป็นคนทำเอง เจ้าของรอยฟันยังคงจ้องมองอยู่ที่จุดเดิม เขากัดปากตัวเองแน่น นิ่งคิดสักพักก่อนจะควักอะไรบางอย่างมาแกะแล้วบรรจงแปะลงที่มือของคนที่หลับอยู่ จากนั้นก็ลุกขึ้นยกถาดเครื่องดื่มไปวางไว้ที่โต๊ะริมหน้าต่าง

“คุณน้าฝากมาหรอกนะ ไม่อย่างนั้นฉันไม่เอาขึ้นมาให้หรอก” เจ้าตัวบ่นอุบอิบเสียงเบา

“หืม?”

ก่อนที่จะตัดสินใจเดินหันหลังไปตากลมก็สังเกตเห็นกระดาษบนโต๊ะ มันดูน่าสนใจอย่างบอกไม่ถูก เขาหันซ้ายหันขวาตรวจดูต้นทางเหมือนกำลังเตรียมทำความผิดครั้งใหญ่หลวง จากนั้นจึงค่อยหยิบกระดาษขึ้นมาดู

“คิกๆๆ นี่คือตัวอะไรกันน่ะ แมวตาโบ๋?” คนที่ถือวิสาสะแอบดูงานของพี่ชายพยายามกลั้นขำจนตัวสั่น

“เห๊ะโปจิ? นี่น่ะเหรอโปจิ ฮ่าๆๆๆ จริงๆเหรอเนี่ย!”
เอย์จุนกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ ขำดังลั่นออกมาเพราะภาพวาดตลกๆของคาซึยะ

สวบ–

“หือ? เอย์จุน?” และแล้วปีศาจแว่นก็ตื่นจากนินทรา…

“เหวอ คาซึยะ!”

เคร้ง! จ๊อกๆๆๆ…

“เฮ้ย! น้ำ” คนเพิ่งตื่นอุทานดังลั่นตาตื่นเด้งออกจากเตียงทันที

“อ๊ะ!” เอย์จุนรีบหันขวับ รู้สึกได้ว่าข้อศอกจะไปสัมผัสอะไร แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว

สภาพโต๊ะทำงานตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำชาที่ไหลนองจากแก้วใส โชคดีที่ไม่มีของมากมายวางอยู่บนโต๊ะ แต่ดูเหมือนว่าการบ้านชิ้นสำคัญของคาซึยะจะไม่รอด

คาซึยะรีบวิ่งมาดูสภาพโต๊ะทำงานของเขา อึ้งไปชั่วขณะก่อนจะรีบหยิบม้วนกระดาษทิชชู่ใกล้ตัวมาซับน้ำที่กำลังไหลนอง เอย์จุนลุกลี้ลุกลนรีบคว้าผ้าที่ใกล้ตัวที่สุดมาช่วยซับน้ำด้วย แต่…

“เฮ้ยผ้านั่น! นั่นมันเสื้อตัวเก่งของฉัน”
คาซึยะกล่าวเสียงดังลั่นรีบกระชากเสื้อออกมา

“จิ๊ ให้ตายเถอะ!” เขาชักสีหน้าสบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ก่อนที่จะได้ระเบิดอารมณ์ออกมามากกว่านี้ เขาก็นึกถึงสิ่งที่สำคัญกว่าได้

“แล้วการบ้านของฉันล่ะ!” นัยน์ตาแข็งกร้าวจ้องมองคนข้างตัวไม่กะพริบตา”

ไหล่เล็กกระตุกตกใจ ใบหน้าซีดเผือด ปากสั่นจนพูดไม่เป็นศัพท์ น้ำใสๆเริ่มเอ่อออกมาคลอที่ดวงตาที่บัดนี้ฉายแววกลัวอย่างเห็นได้ชัด

“ยะ…อยู่…นี่”
มือเล็กค่อยๆเลื่อนออกมาจากด้านหลัง เผยให้เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่อยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยสมบูรณ์นัก
คนที่กำลังจ้องมองกระดาษอยู่ถึงกับนิ่งเงียบเมื่อเห็นสภาพกระดาษเรียงความของเขา

กระดาษที่เคยเป็นสีขาวสะอาดถูกย้อมด้วยสีน้ำตาลจากน้ำชา ความเรียบบางของมันแปรเปลี่ยนเป็นความยับย่นจากความชื้นที่ซึมซับเข้ามา และมันก็…กำลังจะขาดออกจากกัน

“ขอโทษ ฉันขอโทษ ขอโทษจริงๆนะ ฮึก…ฉะ…ฉันไม่ได้ตั้งใจ คาซึ เอย์จุนขอโทษ”

คนทำผิดรีบขอโทษขอโพยด้วยเสียงที่สั่นเทา ใต้ตารู้สึกร้อนผ่าวแต่ตัดสินใจก้มหน้าลงด้วยความกลัวจากขั้วหัวใจ

ยังคงไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมาจากพี่ชายของเขา เขาค่อยๆเงยหน้ามองคาซึยะอย่างชั่งใจ ทั้งสงสัยทั้งกลัวคำพูดที่จะออกมาจากปากของคนตรงหน้า

“คาซึ…”

“ออกไปซะ”

“….”

“บอกให้ออกไปไงเล่า!”

เอย์จุนสะดุ้งสุดตัว ใบหน้ารู้สึกชาไปหมดตาจ้องไปข้างหน้านิ่งไม่กล้ามองหน้าอีกคน

“ขอ…”

“ไปซะ” คำสั้นๆถูกกล่าวออกมาด้วยเสียงนิ่งๆแต่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น คาซึยะจ้องกลุ่มผมสีน้ำตาลที่ไหวไปมานิ่ง พยายามข่มสติอารมณ์มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นและตามมาด้วยหยดน้ำใสๆที่หล่นลงพื้น

“ฮือ…ฮึก อึก”

เจ้าของกลุ่มผมสีน้ำตาลผงกหัวขึ้นลงเบาๆ พยายามเช็ดหน้าเช็ดตาจากนั้นก็ค่อยๆเดินออกไปจากห้อง

..
.


ครืด

เก้าอี้ถูกลากออกมาหลังจากที่โต๊ะถูกทำความสะอาดหมดแล้ว เด็กชายขยับแว่นไปมาก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงไป ตอนนี้ผมของเขาดูยุ่งเหยิงผิดปกติและมันก็ยิ่งฟูหนักเมื่อเจ้าตัวยีผมตัวเองไปมาเหมือนเป็นการระบายอารมณ์บางอย่าง ใบหน้าเรียบเฉยแต่ในสมองคิดเหม่อไปต่างๆนานา สักพักเขาก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะอย่างหมดแรง สายตายังคงมองนิ่งไปทางเดิมแต่กลับไม่มีสมาธิที่จะรับรู้อะไร

“เฮ้อ…ยุ่งจริงๆ” เขาหลับตาลงแต่ปากยังขยับพ่นคำพูดลอยๆออกมา

“พูดแรงไปหรือเปล่านะ?”

ดวงตาสีน้ำตาลค่อยๆปรือเปิดออก ก่อนจะเบิกดวงตากว้างขึ้นเมื่อสังเกตเห็นอะไรบางอย่างบนหลังมือของเขาที่ผิดแปลกปลอมไปจากเดิม

“พลาสเตอร์นี่…มาจากไหนกัน ฉันไม่ได้แปะมันตอนทำแผลนิ”

เขานิ่งคิด เพ่งพินิจดูก็เห็นตัวอักษรเล็กๆที่เขียนอยู่ตรงริมสุดของพลาสเตอร์

‘ซาวามูระ เอย์จุน’

“…..”

ดวงตาหรี่เล็กลงแต่ยังคงจ้องมองอยู่ที่ชื่อของคนคนหนึ่ง มืออีกข้างที่ว่างอยู่ยีผมตัวเองอย่างแรงด้วยความรู้สึกสับสน

“ฮ่ะๆๆๆ ให้ตายสิ ให้ตายสิ!…เจ้าเด็กบ้า” เขาบ่นเสียงอู้อี้ด้วยใบหน้าที่ยังซบลงอยู่บนโต๊ะ

“…จิ๊…ก็ได้ๆ”

พรืบ!

อยู่ๆเจ้าตัวก็ลุกขึ้นตรงไปที่ประตูและเปิดออกอย่างไม่ลังเล ป่านนี้หมอนั้นจะไปแอบที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ หรืออาจจะวิ่งไปหาคุณแม่หรือพี่คริสล่ะสินะ คิดได้อย่างนั้นเขาก็ก้าวเดินออกไป แต่ก่อนที่เท้าจะได้เหยียบลงบันได ทางข้างหน้าก็ถูกขวางด้วยแผ่นหลังของใครบางคน

” เอย์จุน…”

ไหล่เล็กกระตุกนิดๆ

“…ทำไมมานั่งตรงนี้”

“…..”

คาซึยะยืนนิ่งจ้องมองเจ้าตัวเล็กที่เหมือนตอนนี้จะดูเล็กลงยิ่งกว่าทุกที เด็กชายยกมือขึ้นเกาแก้ม รู้สึกถึงเหงื่อที่ค่อยๆไหลออกมา ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าตัวเขานั้นกำลังรู้สึกร้อนอยู่หรือ…อึดอัด

จะให้ทำยังไงเนี่ย! ฉันไม่ได้ผิดอะไรสักหน่อย ไม่ได้จะมาง้อนะ ก็รู้ว่าพูดแรงไปหน่อย แต่…

กรอด…เขากัดฟันแน่นก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปนั่งข้างๆที่ว่างที่เหลืออยู่ แต่คนที่นั่งอยู่ก่อนดันขยับออกห่างชิดริมบันไดเหมือนรังเกียจหรือไม่ก็…กลัวเขามาก นี่ถ้าแทรกตัวไปอยู่ระหว่างรั้วบันไดได้เจ้านี่คงทำไปแล้ว

เจ้าตัวเล็กยังคงขดตัวอยู่ท่าเดิม กอดเข่าหน้าฟุบลงปิดบังใบหน้าอย่างมิดชิด เขาดูไม่ออกจริงๆว่าตอนนี้เอย์จุนทำหน้าอย่างไรอยู่ แต่ก็พอจะเดาได้ล่ะนะ

“เอย์จุน” เขาเรียกชื่อน้องอีกครั้งและค่อยๆยื่นมือไปลูบหัวเบาๆ

“ฉัน…พะ…พี่…”
คาซึยะทำท่าเก้ๆกังๆ เขารู้ตัวว่าตัวเองตอนนี้นั้นฝืนมาก มันทำตัวไม่ถูกอึดอัดจนรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ผมสีน้ำตาลไหวนิดๆเมื่อได้ยินสรรพนามแทนตัวที่ผิดแปลกไป เมื่อเห็นอย่างนั้นผู้พูดจึงพยายามสร้างบทสนทนาต่อแต่ปากเจ้ากรรมดันเปลี่ยนเรื่องเองเสียนี่

“ย๊า~ พลาสเตอร์นี่ลายน่ารักจังนะ ดูสิคุมะจังเหรอ ฮ่ะๆๆของใครกันน้า~”

ครั้งนี้เหมือนจะได้ผล ใบหน้าที่ซุกอยู่ค่อยๆเผยออกมาให้เห็นบางส่วน ดวงตาสีสวยคู่เดิมเริ่มมีประกายขึ้นมา แต่ทัศนวิสัยคงไม่ชัดนักเพราะมันเต็มไปด้วยคราบน้ำตาที่เอ่อออกมาจนกลายเป็นม่านน้ำนั่น

ร้องไห้เก่งชะมัด…นี่ร้องไห้มาตลอดที่นั่งอยู่ตรงนี้เลยเหรอไง
คาซึยะพยายามไม่มองหน้าของคนข้างตัวตรงๆเพราะกังวลว่าเอย์จุนจะกลัวเขาอีก

“ดูสิมีชื่อเขียนไว้ด้วยนะ ตัวเล็กนิดเดียวเองแฮะ อ่านว่าอะไรนะ ซา-วา-มู-ระ เอย์–”

ก่อนที่จะได้พูดให้จบที่ปากของเขาก็สัมผัสได้ถึงสัมผัสนุ่มๆของมือเล็กที่เอื้อมมาปิดปากของเขาเอาไว้ ภาพที่เขาเห็นตรงหน้าเล่นเอาทิฐิทั้งหมดที่มีมาแต่ต้นพังทลายลง

ใบหน้าของอีกฝ่ายเลอะเทอะเต็มไปด้วยคราบน้ำตาทั้งที่แห้งแล้วและที่ยังคงไหลเอ่อออกมาอยู่ ตาโตสีน้ำตาลทองที่เคยทอประกายสดใสกลับหม่นลง ทั้งใต้ตาและแก้มทั้งสองข้างแดงก่ำ จมูกเล็กขยับทำเสียงฟึดฟัดเหมือนหายใจไม่ถนัดเพราะน้ำมูกที่คั่งในจมูก ปากเล็กเม้มแน่นก่อนจะค่อยๆเผยออ้าออก แต่ไม่มีคำพูดใดๆเอ่ยออกมา…

คาซึยะหลุบตาลง รู้สึกได้ว่าความอึดอัดที่ก่อตัวขึ้นเมื่อกี้ได้มลายหายไป เขารู้สึกว่าเขาควรพูดอะไรบางอย่าง
“ขอโทษนะเอย์จุน หยุดร้องไห้เถอะนะ” ว่าแล้วเขาก็ใช้มือของตนค่อยเช็ดหน้าอีกฝ่าย

สัมผัสและเสียงทีถูกส่งมาทำให้จิตใจของเอย์จุนสงบลงอย่างไม่น่าเชื่อ มันไม่บ่อยนักที่คนๆนี้จะทำแบบนี้ เท่าที่จำความได้นี่อาจจะเป็นครั้งแรกเลยด้วยซ้ำ ตากลมจับจ้องใบหน้าของคนข้างกาย สัมผัสที่ได้รับนั้นช่างอบอุ่นอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ภาพตรงหน้าที่เกือบจะชัดเจนกลับมัวหมองอีกครั้งเพราะโดนม่านน้ำใสปกคลุม

“คา…คาซึ ฮึก ฮึก ฮือออ ขอโทษ” เอย์จุนร้องไห้อีกครั้งมือก็ยังพยายามเช็ดทั้งน้ำตาและน้ำมูกที่ไหล

“อื้อ ไม่ต้องร้องแล้ว ฉันไม่ได้โกรธนายแล้วล่ะ” เขาระบายยิ้มบางๆ สายตาจ้องมองท่าทีของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน
คาซึยะกางวงแขนออกค่อยๆรวบคว้าหลังเล็กๆของเจ้าเด็กขี้แยมาโอบพร้อมดันร่างเล็กให้ขยับเข้ามาซบอก

“พอแล้วน่ะ ขี้แยจริงๆนะนาย” มือที่ไม่ใหญ่ไปกว่าอีกคนนักค่อยๆลูบหลังคนในอ้อมกอดไปมา

“ฮือ” เจ้าตัวเล็กตอบเสียงแห้งพร้อมพยักหน้าทั้งๆที่ยังมุดอยู่ในอกของเขา

..

.

“เอย์จุน…เอย์จุน” คาซึยะค่อยเอามือแตะๆที่หลังของน้องชายเบาๆแต่กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ พอผ่อนวงแขนออกก็พบว่าเจ้าตัวเล็กนั้นดันใช้อกของเขาแทนหมอนไปตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วก็ไม่รู้

“หลับไปตอนไหนกันเนี่ย คงเหนื่อยสินะฮ่ะๆ” เขาขำออกมาพลางแกล้งเอามือบีบแก้มอีกฝ่ายเล่นเบาๆ

“งือ~” เจ้าของแก้มยุ้ยครางออกมา

” นี่ ฉันอุ้มนายไม่ไหวหรอกนะ เอ้าจับหลังไว้ให้ดีๆ”
คนตัวสูงกว่ายกมือแตะๆที่หลังขณะย่อลงตรงขั้นบันไดที่ต่ำกว่า

“อื้อ” คนตัวเล็กที่ยังคงสลึมสลืออยู่เอื้อมแขนออกไปเกาะหลังพี่ชายแน่นและหลับต่อแทบจะในทันที

“หึๆ” คาซึยะค่อยๆขยับท่าทางให้น้องขึ้นมาขี่หลังเขาดีๆและพาแบกกลับเข้าห้องนอนไป

“เจ้าตัวยุ่งเอ๊ย”

..

.

“สิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจ…เหรอ”

“ถ้าเป็นคน…ก็ได้สินะ”

“ลงมืออีกสักตั้งแล้วกัน! อย่างน้อยครั้งนี้ก็ได้คำตอบที่น่าสนใจกว่าเดิมล่ะนะฮี่ๆ”

..

เจ้าตัวน้อยลืมตาขึ้นมาทั้งที่ยังไม่ตื่นดี สิ่งเดียวที่มองเห็นอยู่ตรงหน้าคือภาพแผ่นหลังที่ไม่ใหญ่มากนัก…เขาคนนั้นนั่งอยู่ที่เก้าอี้…  สองขาไกวแกว่งไปมา ใบหน้ายิ้มแย้มกำลังตั้งใจบรรจงเขียนอะไรบางอย่างอยู่ที่โต๊ะตัวเดิมตัวนั้น… แล้วนั่นก็คือภาพสุดท้ายที่ได้เห็นก่อนเขาจะผลอยหลับลงไปอีกครั้ง

ในหัวรับรู้แค่ว่านั้นคือ …‘มิยูกิ คาซึยะ พี่ชายของฉัน’

*****End Miyuki’s side*****


————————————————————–


สวัสดี!

อันนี้เป็นฟิคแรกที่เขียนครับ ยังไงฝากติชมกันด้วยTvT  ตัวเนื้อหาของตอนนี้เป็นเพียงside storyของเนื้อเรื่องหลักที่กำลังจะเขียนครับ ซึ่ง That crybaby เป็นการเล่าผ่านความคิดของมิยูกิเป็นหลัก มีกุญแจหลายๆอย่างที่ซ่อนไว้ด้วย… ถ้าอ่านจบแล้วเชื่อว่าอาจจะตั้งคำถามกัน คำตอบนั้นต้องรอดูในเนื้อเรื่องหลักนะครับผม

ตัวเนื้อเรื่องหลัก (ยังคิดชื่อเรื่องไม่ได้เลย…//โดนโบก) เป็นเรื่องของ3พี่น้อง พี่คริส มิยูกิ และซาวามูระในช่วงม.ปลายในโรงเรียนเซย์โดนั้นเอง จะอิงตามเนื้อเรื่องหลักบ้างแต่ไม่มากนัก และแน่นอนว่าจะมีตัวละครอื่นๆออกมาอีกครับ ส่วนถ้าถามว่าเรื่องนี้เป็นคู่ไหน…คงต้องรอดูกันนะครับ555 ยังไม่อยากให้คำตอบตายตัว-3-

ยังไงก็รอดูกันนะ!

ขอบคุณคร้าบ